ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือแม้กระทั่งอยู่ในวงการมาสักพัก คงต้องเคยได้ยินคำว่า “ติดดอย” ผ่านหูกันมาบ้าง ซึ่ง “ติดดอย” ไม่ใช่การที่ติดอยู่บนยอดภูเขาแต่อย่างใด แต่เป็นสถานการณ์ที่นักลงทุนต้องเผชิญกับการขาดทุนในตลาดคริปโตจนพอร์ตเกิดความเสียหายนั้นเอง ในบทความนี้จะพาไปรู้จักกับความหมายของ “ติดดอย” ว่าคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร พร้อมวิธีรับมืออย่างมีสติ เพื่อให้ลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมั่นใจอีกครั้ง
“ติดดอย” คือ ศัพท์แสลงที่ใช้เรียกสถานการณ์ที่นักลงทุนมีการซื้อสินทรัพย์ในราคาสูง ก่อนที่ราคาจะร่วงลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องถือครองไว้แบบจำใจโดยไม่รู้ว่าราคาจะฟื้นตัวเมื่อไหร่
สำหรับตลาดคริปโต “ติดดอย” หมายถึง การที่ซื้อเหรียญในราคาที่สูงสุด All Time High (ATH) หรือใกล้จุดพีคของตลาด ก่อนที่ราคาจะดิ่งลงอย่างรุนแรง ทำให้หลายคนต้องถือเหรียญไว้โดยไม่สามารถขายทำกำไรได้ หรือหากขายได้ ก็มักจะขาดทุนอย่างสาหัส
มีหลายปัจจัยที่ทำให้พอร์ตของนักลงทุนหลาย ๆ คนติดดอย เช่น
การขาดความอดทน: เทรดเดอร์บางคนซื้อขายคริปโตแบบใช้อารมณ์นำเหตุผล โดยไม่มีการวางแผนการลงทุนที่ชัดเจน ส่งผลให้พลาดโอกาสในการซื้อขายในจังหวะที่เหมาะสม
Shiba Inu เป็นเหรียญที่ได้รับความสนใจและความนิยมอย่างมากในช่วงเดือนตุลาคมปี 2021 จึงทำให้เทรดเดอร์จำนวนมากรีบซื้อเหรียญในช่วงราคาที่พุ่งทะยานแบบ Skyrocket ไปถึง $0.00008616 หลังจากนั้นเหรียญ Shiba ก็ประสบกับปัญหาราคาดิ่งลงอย่างรุนแรง ส่งผลให้นักลงทุนหลายคนติดดอย ขาดทุน และไม่สามารถขายเหรียญที่ซื้อไว้ได้ทันเวลา ปัจจุบันราคาของเหรียญ Shiba Inu ยังคงไม่สามารถกลับไปทำราคาสูงเท่ากับปี 2021 ได้อีก
กลยุทธ์การ HODL นี้นับว่าเป็นแนวคิดแบบ “ไม่ขายไม่ขาดทุน” คือ การถือครองสินทรัพย์ระยะยาวแบบไม่ขาย เพราะมีความเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของโครงการ ถึงแม้ว่าตลาดจะผันผวนแค่ไหนก็ตาม ซึ่งหากเหรียญมีพื้นฐานที่ดี การถือยาวอาจช่วยให้พอร์ตฟื้นตัวเมื่อมูลค่ากลับมาได้
การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน เป็นกลยุทธ์ที่นักเทรดจะค่อย ๆ ทยอยซื้อสินทรัพย์เมื่อราคาลง เพื่อลดต้นทุนเฉลี่ยและผลกระทบจากความผันผวนของตลาด อีกทั้งยังเป็นการสร้างวินัยในการลงทุน ซึ่งสำหรับวิธีนี้ นักลงทุนควรมีเงินเย็นสำรองและความรู้ในเรื่องกราฟราคาก่อนใช้กลยุทธ์นี้ ที่จะช่วยคืนทุนได้เร็วขึ้นเมื่อตลาดฟื้นตัว
สำหรับคริปโตในกลุ่ม DeFi เช่น Ethereum (ETH), MakerDao (MKR) และ Uniswap (UNI) คือ การนำเหรียญไปค้ำประกันเพื่อช่วยตรวจสอบธุรกรรม และรับผลตอบแทน ส่วน Yield Farming เหรียญ คือการฝากเหรียญบนแพลตฟอร์ม DeFi เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับ DeFi นั้น ๆ และรับผลตอบแทนจากค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้น
Cut Loss คือ การที่ตัดสินใจขายสินทรัพย์ถึงแม้จะขาดทุน นับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่เปรียบเสมือนการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เพื่อป้องกันไม่ให้ติดดอยและขาดทุนมากขึ้นไปอีก เพราะหากขายเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมนั้นย่อมดีกว่าปล่อยให้พอร์ตพังยับเยิน ซึ่งทำให้สามารถไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีแนวโน้มว่าจะผลตอบแทนที่ดีกว่าได้
หากนักเทรดติดดอยในคริปโต ควรลงจากดอยให้เร็วที่สุด โดยมีวิธีการรับมือสำหรับนักลงทุนหลากหลายทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นการ HODL ถือเหรียญยาวเพื่อรอการฟื้นตัว, การตั้ง Stop Loss เพื่อลดความเสี่ยงจากราคาที่ลงต่อเนื่อง, Cut Loss เพื่อไม่ให้ขาดทุนเพิ่มขึ้น, Staking หรือ Yield Farming เพื่อสร้างผลตอบแทน และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการ ตัดสินใจโดยใช้เหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ เพราะเมื่อติดดอย นักลงทุนควรอาจมีความกลัวมากเกินไป จึงต้องรักษาสติ วิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบคอบ และใช้เหตุผลประกอบการตัดสินใจ เพื่อลดความเสี่ยงในการขาดทุนเพิ่มเติม
“ติดดอย” คือเหตุการณ์ที่นักลงทุนหลาย ๆ คนไม่อยากพบเจอ อย่างไรก็ตาม การติดดอยไม่ใช่จุดจบของการลงทุนในโลกคริปโต แต่นับเป็นบทเรียนล้ำค้าที่สอนให้รู้จักการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ และไม่หลงเชื่อข่าวตามกระแส นักลงทุนที่ฉลาดจะใช้ประสบการณ์จากการติดดอยเป็นโอกาสในการเรียนรู้ วางแผน และพัฒนากลยุทธ์ในการลงทุน ดังนั้น การศึกษาข้อมูลให้ลึกซึ้ง การวางแผนบริการความเสี่ยงจะสามารถช่วยให้เทรดเดอร์หลีกเลี่ยงการติดดอย และสามารถลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด
อ้างอิง