Share this
Yield คืออะไร? เข้าใจผลตอบแทนแบบนักลงทุนมือโปร

Yield คือ ผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างหนึ่ง ซึ่งครอบคลุมและมีลักษณะแตกต่างกันไปตามประเภทของการลงทุน Yield ในโลกคริปโตถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการสร้างรายได้แบบ Passive ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะไม่จำเป็นต้องเทรดหรือขายเหรียญก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะผ่านการทำ Staking, Lending หรือ Yield Farming
อย่างไรก็ตาม รูปแบบของ Yield ในแต่ละแพลตฟอร์มก็มีความเสี่ยงและเงื่อนไขที่ต่างกันไป บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่า Yield คืออะไร ทำงานอย่างไร และต้องรู้จักอะไรบ้างก่อนจะเริ่มสร้างผลตอบแทนจากคริปโต
Yield คืออะไร
Yield คือ ผลตอบแทนจากการลงทุนที่แสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ หากว่ากันในมุมการลงทุนหุ้น Yield มักหมายถึงเงินปันผลรายปีที่บริษัทจ่ายคืนให้ผู้ถือหุ้น ส่วนวงการพันธบัตร Yield คือดอกเบี้ยที่นักลงทุนได้รับตอบแทนจากการถือครอง ในณะที่กองทุนรวม Yield หมายถึงรายได้สุทธิที่กองทุนสร้างได้ตลอดช่วงเวลาหนึ่ง
แน่นอนว่า Yield ในโลกของคริปโตนั้น หรือที่รู้จักกันในชื่อ Yield Farming ก็คือ ผลตอบแทนจากคริปโต นับเป็นแนวทางใหม่ในการสร้างรายได้แบบ Passive จากสินทรัพย์ดิจิทัล แม้จะเป็นแนวคิดที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน แต่ก็ได้รับความสนใจอย่างมากในแวดวงคริปโต
ประเภทของ Yield ในการลงทุนทั่วไป
โดยทั่วไปแล้ว Yield ในการลงทุนต่าง ๆ มีลักษณะแตกต่างกันไป ดังนี้
- Dividend Yield คือ Yield ที่มักถูกกล่าวถึงในบริบทการลงทุนหุ้น โดย Dividend Yield คือผลตอบแทนรายปีที่บริษัทแบ่งกำไรกลับมาให้ผู้ถือหุ้นในรูปแบบเงินปันผล
- Bond Yield คือ ผลตอบแทนของพันธบัตรที่จ่ายดอกเบี้ยแบบรายปีสามารถคำนวณได้ง่ายโดยใช้สูตร Nominal Yield คือ
Nominal Yield = (ดอกเบี้ยรายปี / มูลค่าหน้าตั๋วของพันธบัตร)
ยกตัวอย่าง พันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 1,000 บาท ที่จ่ายดอกเบี้ยปีละ 5% จะมี Yield เท่ากับ 50 ÷ 1,000 = 5%
แต่ถ้าเป็นพันธบัตรดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate Bond) ผลตอบแทนจะเปลี่ยนตามอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในแต่ละช่วงเวลา เช่น ถ้าดอกเบี้ยอ้างอิง (10-Year Treasury) อยู่ที่ 1% และเพิ่มเป็น 2% อัตราดอกเบี้ยรวมก็จะขยับจาก 3% เป็น 4%
ส่วนพันธบัตรแบบดัชนี (Index-Linked Bond) จะปรับดอกเบี้ยตามค่าของดัชนี เช่น CPI หากเงินเฟ้อเพิ่ม ดอกเบี้ยที่ได้ก็จะเพิ่มตามไปด้วย
- Earnings Yield คือ อัตราส่วนทางการเงินที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง กับราคาหุ้นปัจจุบัน
โดย Earnings Yield เป็นอัตราส่วนผกผันของค่า P/E (Price-to-Earnings) ซึ่งคำนวณได้จากสูตร Earnings ÷ Price (E/P) ตัวชี้วัดนี้นิยมใช้เพื่อประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น และบ่งชี้ว่าอัตราผลตอบแทนของหุ้นนั้นอยู่ในระดับใด
Yield ในโลกของคริปโตคืออะไร
ตามที่กล่าวไปข้างต้น Yield ในโลกคริปโต หรือ Yield Farming คือ ผลตอบแทนจากคริปโต ซึ่งมาจากการนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปใช้สร้างรายได้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ดอกเบี้ย ผลตอบแทนจากการ Staking หรือกำไรจากส่วนต่างราคา ลักษณะคล้ายกับฝากเงินกินดอกเบี้ย แต่เป็นการฝากเงินกินดอกเบี้ยในโลกคริปโต
ทั้งนี้ ผู้ใช้งานจะนำเหรียญหรือโทเคนไปฝากไว้ใน dApps เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมอย่างการเทรด ปล่อยกู้ หรือยืมเงิน และกลายเป็นผู้ให้สภาพคล่องในระบบ

วิธีการสร้าง Yield จากคริปโต
เมื่อการทำ Yield Farming ถือการสร้างรายได้แบบ Passive ถึงอย่างนั้น การทำ Yield ในโลกคริปโตก็มีวิธีการเฉพาะที่แตกต่างไปจากการลงทุนสินทรัพย์อื่น โดยการสร้าง Yield จากคริปโตทำได้ ดังนี้
- Staking คือ การถือครองและล็อกเหรียญคริปโตไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อสนับสนุนการทำงานของเครือข่ายที่ใช้ระบบ Proof-of-Stake ผู้ที่นำเหรียญไป Stake จะมีบทบาทในการยืนยันธุรกรรมและสร้างบล็อกใหม่บนบล็อกเชน ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนหรือ “Yield” เป็นรางวัลตอบแทนจากการมีส่วนร่วมในเครือข่าย
- Lending/Borrowing จะให้ Yield กลับมาในรูปของอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ธนาคารได้รับจากเงินกู้ทั้งหมดที่ปล่อยให้ลูกหนี้ โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดเงินกู้รวม ตัวชี้วัดนี้ถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดหลักด้านประสิทธิภาพของธนาคาร เพราะสะท้อนความสามารถในการสร้างรายได้จากธุรกิจหลักด้านการปล่อยสินเชื่อโดยตรง
- Yield Farming หรือที่เรียกว่า Liquidity Mining คือการนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปฝากไว้ในโปรโตคอล DeFi เพื่อรับผลตอบแทน โดยรางวัลที่ได้มักอยู่ในรูปแบบของโทเคน Governance ของแพลตฟอร์มนั้น ๆ แนวทางนี้มีจุดประสงค์กระตุ้นให้เกิดการเข้าร่วมของผู้ใช้งาน เพื่อสร้างสภาพคล่อง ถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานในระบบ DeFi ส่วนใหญ่
- Auto-Compound Vaults อีกหนึ่งนวัตกรรมของ Yield Farming 2.0 ที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนโดยอัตโนมัติ ระบบจะนำรางวัลที่ได้รับกลับไปลงทุนซ้ำใน Pool เดิมโดยไม่ต้องให้ผู้ใช้งานดำเนินการเอง ผู้ใช้งานจึงได้รับประโยชน์จากการเติบโตแบบทบต้นเมื่อเวลาผ่านไป
ปัจจัยที่มีผลต่อ Yield
ปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนของ Yield ในโลกคริปโต มีดังนี้
- เงินเฟ้อ ภาวะเงินเฟ้อมักเกิดขึ้นเมื่อมีการเพิ่มเหรียญใหม่เข้าสู่ระบบ ไม่ว่าจะในอัตราคงที่หรือแปรผัน การแจกจ่ายรางวัลจากการ Staking ทั้งนี้ นี่ถือเป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัยที่ควรพิจารณาประกอบ
- อุปสงค์และอุปทานเหรียญ ตลาดคริปโตก็เหมือนกับระบบเศรษฐกิจทั่วไป หากเหรียญมีมาก ดอกเบี้ยจากการกู้ยืมจะต่ำ แต่ถ้ามีเหรียญในระบบน้อย ดอกเบี้ยจะสูง อัตราผลตอบแทนของคริปโตจึงผันผวนตามความต้องการและปริมาณของโทเคนแต่ละตัวในตลาด
- ช่วงเวลาทบต้น ยิ่งระบบทบผลตอบแทนบ่อย Yield ก็จะยิ่งสูง ผู้ที่ฝากเหรียญไว้ควรดูว่ารางวัลถูกทบต้นถี่แค่ไหน เพราะการทบรายวันหรือรายสัปดาห์มักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการทบแบบรายปี

วิธีเลือกเหรียญในการทำ Yield
ผู้สนใจเลือกเหรียญเพื่อลงทุนทำ Yield ในโลกคริปโต ควรพิจารณาปัจจัยหลายอย่าง เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและลดความเสี่ยงที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยสสามารถพิจารณาวิธีต่อไป
- ดูพื้นฐานของโปรเจกต์ก่อน เลือกเหรียญที่มีโปรเจกต์จริง ใช้งานได้จริง มีผู้พัฒนาและทีมงานที่น่าเชื่อถือ และแก้ปัญหาอะไรในตลาดบ้าง
- เช็กความมั่นคงของแพลตฟอร์มที่ใช้สร้าง Yield ดูว่าเหรียญนั้นสามารถนำไป Stake, Farm หรือ Lending บนแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือได้ไหม
- ศึกษาผลตอบแทนและความถี่ในการทบต้น ไม่ควรเลือกแค่เหรียญที่ให้ APY สูง แต่ต้องดูว่าเป็น “ผลตอบแทนจริง” หรือเกิดจากการแจกเหรียญแบบชั่วคราว และระบบทบผลตอบแทนเป็นรายวันหรือไม่
- พิจารณาความเสี่ยงเรื่องราคาเหรียญ เหรียญที่ราคาผันผวนสูงอาจให้ Yield สูงจริง แต่ถ้ามูลค่าเหรียญร่วงมาก อาจขาดทุนแม้จะได้ดอกเบี้ย จึงควรเลือกเหรียญที่มีความมั่นคงหรือเป็นที่ยอมรับระดับหนึ่ง
- ติดตามข่าวและการเคลื่อนไหวของคอมมูนิตี้ เหรียญที่มีคอมมูนิตี้เครือข่ายเข้มแข็ง มีผู้พัฒนาต่อเนื่อง และมีการอัปเดตโปรเจกต์สม่ำเสมอ มักมีความเสี่ยงน้อยกว่าเหรียญที่ไม่มีใครพูดถึง
ความเสี่ยงของ Yield ที่นักลงทุนควรรู้
แม้ว่าการทำ Yield ในโลกคริปโตจะมีหลากหลายวิธี แต่วิธีเหล่านั้นต่างก็มีข้อจำกัดและความเสี่ยงที่นักลงทุนควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ Yield ด้วยิวธีใดวิธีหนึ่ง
- ราคาของเหรียญที่ผันผวน ถือเป็นจุดเสี่ยงชัดเจนของการทำ Staking แม้จะได้รับผลตอบแทนเป็น Yield แต่หากมูลค่าเหรียญตกลงมาก ก็อาจขาดทุนหนักกว่ากำไรที่ได้รับจากการทำ Staking
- ความเสี่ยงการปล่อยกู้ หากผู้กู้ไม่ชำระคืนเงิน อาจทำให้ผู้ให้กู้สูญเสียเงินต้นทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของแพลตฟอร์ม เพราะแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์อาจถูกแฮกได้ ส่วนแบบกระจายศูนย์ก็เสี่ยงจากช่องโหว่ของ Smart Contract ที่สำคัญ ยังมีประเด็นเรื่องการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ชัดเจน อาจกระทบต่อสิทธิผู้ใช้งานหรือการดำเนินงานของแพลตฟอร์มได้ในอนาคต
- ช่องโหว่ของ Smart Contract คือความเสี่ยงหลักของ Yield Farming เพราะแพลตฟอร์ม DeFi ทำงานผ่านโค้ดอัตโนมัติ หาก Smart Contract มีบั๊กหรือถูกเจาะ ผู้ใช้งานอาจสูญเสียสินทรัพย์ทั้งหมดโดยไม่มีการเยียวยา นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับความผันผวนของตลาดที่อาจทำให้ผลตอบแทนที่ได้ลดลงอย่างรวดเร็ว

เปรียบเทียบ Yield ทั่วไป vs Yield ในคริปโต
โดยทั่วไปแล้ว Yield ในโลกของการลงทุนทั่วไป ว่าด้วยผลตอบแทนจากการลงทุนนั้น ๆ เช่น ดอกเบี้ยพันธบัตร เงินปันผลจากหุ้น ผลตอบแทนจากกองทุน เป็นต้น Yield ประเภทนี้มีลักษณะคงที่หรือผันผวนน้อย มักอยู่ในกรอบที่ประเมินได้ และอยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานทางการเงิน
ในขณะเดียวกัน Yield ในโลกคริปโตนั้นคือผลตอบแทนจากสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น Staking, Lending, Yield Farming เป็นต้น แน่นอนว่ามีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงกว่า แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงมากกว่า ทั้งในแง่ความผันผวนของราคา ความปลอดภัยของแพลตฟอร์ม และความไม่ชัดเจนด้านกฎหมาย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Yield
-
Yield กับ ROI ต่างกันอย่างไร
Yield คือผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนในรูปแบบของรายได้ โดยคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อปีจากต้นทุนการลงทุน และมักใช้เพื่อประเมินรายได้ที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต ส่วน ROI (Return on Investment) คือผลตอบแทนรวมจากการลงทุน ซึ่งรวมถึงรายได้ทั้งหมดและการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สิน โดยคำนวณจากกำไรสุทธิที่ได้รับเทียบกับต้นทุนการลงทุน และมักใช้เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการลงทุนในอดีต
-
จะเริ่มสร้าง Yield จากคริปโตได้อย่างไร
เริ่มต้นด้วยการเลือกแพลตฟอร์ม DeFi ที่น่าเชื่อถือ เช่น Uniswap, Aave หรือ PancakeSwap จากนั้นเชื่อมต่อกระเป๋าคริปโตกับแพลตฟอร์มที่เลือก แล้วจึงฝากเหรียญลงใน Pool หรือทำ Staking เพื่อเริ่มรับผลตอบแทน ซึ่งอาจมาในรูปแบบของดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม หรือโทเคนรางวัล
-
Yield จากคริปโตต้องเสียภาษีไหม
ปัจจุบันประเทศไทยกำหนดให้ รายได้จากการลงทุนในคริปโตถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เช่น ดอกเบี้ยจากการทำ Staking หรือ Yield Farming เป็นต้น อัตราภาษีขึ้นอยู่กับรายได้รวมของคุณนอกจากนี้ ยังมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% สำหรับรายได้บางประเภท เช่น ดอกเบี้ยหรือเงินปันผลจากโทเคนดิจิทัล
Conclusion
แม้ Yield จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยให้สินทรัพย์ดิจิทัลทำงานแทนผู็ถือครองสินทรัพย์นั้นได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าผลตอบแทนที่สูงมักมาพร้อมความเสี่ยงเสมอ โดยเฉพาะความผันผวนของตลาดคริปโตและช่องโหว่ของ Smart Contract นักลงทุนจึงควรศึกษารูปแบบของ Yield ให้รอบด้าน เลือกเหรียญที่เหมาะกับเป้าหมายของตัวเอง และติดตามความเคลื่อนไหวของโปรเจกต์หรือแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ เพื่อให้ Yield ที่ได้ไม่กลายเป็นความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นในอนาคต
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด
อ้างอิง
Share this
- Bitazza Blog (96)
- Crypto Weekly (44)
- DAO (15)
- Beginner (14)
- mission (11)
- ความปลอดภัย (11)
- Tether (USDt) (8)
- บล็อกเชน (8)
- bitcoin (7)
- missions (7)
- Learning Hub (6)
- การค้าขาย (6)
- หัวข้อเด่น (6)
- ตลาด (5)
- วิจัย (5)
- Campaigns (3)
- Security (3)
- เศรษฐศาสตร์ (3)
- Bitazza Insights (2)
- Stablecoin (2)
- Token talk (2)
- Trading (2)
- เกี่ยวกับการสอน (2)
- Crypto รายสัปดาห์ (1)
- Disclosure (1)
- ENJ (1)
- Educational (1)
- Featured (1)
- KYC (1)
- NFTs (1)
- SEC (1)
- Social Features (1)
- TRUMP (1)
- TradingView (1)
- บิทาซซ่าบล็อกส์ (1)
Subscribe by email

Trump Media เตรียมระดมทุนซื้อ Bitcoin 2.5 พันล้านดอลลาร์และยื่นจัดตั้ง Bitcoin ETF

RSI คืออะไร? เจาะลึกอินดิเคเตอร์ยอดฮิต เข้าใจภายใน 5 นาที

Swap คืออะไร? ทำไมสาย DeFi ต้องรู้ก่อนพลาดโอกาสในโลกคริปโต

Yield คืออะไร? เข้าใจผลตอบแทนแบบนักลงทุนมือโปร

IPO คืออะไร? รู้ก่อนลงทุนในหุ้นน้องใหม่

อุปทาน (Supply) คืออะไร? ทำไมส่งผลต่อราคาสินทรัพย์

SSF คืออะไร? ลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่ เหมาะกับใคร?

Ultron Coin คืออะไร? ทำความรู้จักกับเหรียญดิจิทัลมาแรงในปี 2025

Bitazza on the Road! โพสต์ภาพเราบนถนนในกรุงเทพ รับเมิร์ชสุดคูล
