Share this
DCA คืออะไร? กลยุทธ์ลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนที่นักลงทุนควรรู้

ในโลกของการลงทุน มีกลยุทธ์หลากหลายที่นักลงทุนใช้เพื่อจัดการความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดี หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมคือการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน หรือ Dollar-Cost Averaging (DCA) กลยุทธ์นี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและสร้างวินัยในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
DCA คืออะไร
Dollar-Cost Averaging (DCA) คือกลยุทธ์การลงทุนที่นักลงทุนแบ่งเงินลงทุนออกเป็นงวด ๆ เท่า ๆ กัน และลงทุนในสินทรัพย์เป้าหมายตามช่วงเวลาที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นรายสัปดาห์ รายเดือน หรือรายไตรมาส โดยไม่คำนึงถึงระดับราคาของสินทรัพย์ในขณะนั้น วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนทั้งหมดในครั้งเดียวในช่วงที่ราคาสูง และช่วยให้นักลงทุนได้ประโยชน์จากการซื้อสินทรัพย์ในราคาที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา
การใช้กลยุทธ์ DCA ทำให้นักลงทุนสามารถซื้อสินทรัพย์ได้มากขึ้นเมื่อราคาลดลง และซื้อน้อยลงเมื่อราคาสูงขึ้น ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาด นอกจากนี้ การลงทุนแบบ DCA ยังช่วยสร้างวินัยในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และลดความเครียดจากการพยายามจับจังหวะตลาดที่ยากต่อการคาดเดา

วิธีการทำ DCA
การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-Cost Averaging หรือ DCA) เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้นักลงทุนลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดและสร้างวินัยในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยหลักการสำคัญของ DCA คือการลงทุนเป็นงวด ๆ ด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันในสินทรัพย์เดิมอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น กองทุนรวม คริปโตเคอร์เรนซี หรือสินทรัพย์อื่น ๆ แม้ราคาจะขึ้นหรือลงก็ตาม ซึ่งช่วยให้นักลงทุนไม่ต้องกังวลกับการจับจังหวะตลาด และลดโอกาสขาดทุนจากการลงทุนครั้งเดียวในช่วงราคาสูง
- กำหนดจำนวนเงินลงทุนในแต่ละงวด: การเริ่มต้นด้วยการกำหนดจำนวนเงินที่จะลงทุนในแต่ละงวดเป็นสิ่งสำคัญ นักลงทุนควรเลือกจำนวนเงินที่สามารถจัดสรรได้อย่างสม่ำเสมอโดยไม่กระทบต่อค่าใช้จ่ายประจำวัน เช่น หากมีรายได้เดือนละ 30,000 บาท อาจเลือกแบ่ง 10% หรือประมาณ 3,000 บาทมาลงทุนทุกเดือน การกำหนดจำนวนเงินคงที่ช่วยให้การลงทุนไม่เป็นภาระเกินไป และยังช่วยควบคุมอารมณ์ไม่ให้ทุ่มเงินมากเกินไปในช่วงตลาดบูม หรือหยุดลงทุนเมื่อราคาตก
- กำหนดความถี่ในการลงทุน: การเลือกความถี่ในการลงทุนเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยสร้างวินัยในการลงทุน นักลงทุนสามารถเลือกได้ว่าจะลงทุนรายสัปดาห์ รายเดือน หรือรายไตรมาส โดยการลงทุนบ่อยครั้งขึ้น (เช่น รายสัปดาห์) อาจช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนได้ดีกว่า เนื่องจากการกระจายต้นทุนไปในหลาย ๆ ช่วงราคา อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาถึงค่าธรรมเนียมการลงทุนด้วย เพราะการลงทุนบ่อยครั้งอาจทำให้ต้นทุนค่าธรรมเนียมสูงขึ้น ในทางกลับกัน การลงทุนแบบรายเดือนเป็นตัวเลือกยอดนิยม เพราะสมดุลระหว่างความถี่กับค่าธรรมเนียม และยังสอดคล้องกับรอบรายได้ของคนส่วนใหญ่
- เลือกสินทรัพย์หรือกองทุนที่ต้องการลงทุน: การเลือกสินทรัพย์มีผลต่อความสำเร็จของ DCA อย่างมาก ควรพิจารณาสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว และสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงิน เช่น หุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง กองทุนดัชนี (Index Fund) ที่กระจายการลงทุนในหลายบริษัท หรือแม้แต่คริปโตเคอร์เรนซีหากยอมรับความเสี่ยงได้ โดยควรศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์นั้น ๆ อย่างรอบคอบ เช่น ผลประกอบการย้อนหลัง แผนการเติบโต และสภาวะตลาด เพื่อให้แน่ใจว่าสินทรัพย์ที่เลือกเหมาะกับกลยุทธ์ระยะยาว
- ติดตามและปรับปรุงแผนการลงทุน: นักลงทุนไม่ควรละเลยการตรวจสอบพอร์ตการลงทุนเป็นระยะ ๆ อาจเป็นทุก 6 เดือน หรือปีละครั้ง เพื่อตรวจสอบว่าสินทรัพย์ที่ลงทุนยังมีศักยภาพอยู่หรือไม่ หากสินทรัพย์เริ่มมีแนวโน้มไม่ดี อาจพิจารณาปรับเปลี่ยนการลงทุน หรือหากสถานการณ์ทางการเงินเปลี่ยนไป เช่น รายได้เพิ่มขึ้น ก็อาจเพิ่มเงินลงทุนในแต่ละงวดให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินที่ใหญ่ขึ้น
การใช้ DCA อย่างมีวินัยและอดทนในระยะยาว สามารถช่วยสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงได้ แม้ในช่วงตลาดขาลง เพราะทุกครั้งที่ราคาลดลง นักลงทุนจะได้ซื้อสินทรัพย์ในราคาถูกกว่าครั้งก่อน และเมื่อตลาดกลับมาฟื้นตัว มูลค่าพอร์ตการลงทุนก็จะเติบโตตามไปด้วย
ตัวอย่างการใช้ DCA ในคริปโตเคอเรนซี
สมมติว่าต้องการลงทุนใน Bitcoin (BTC) โดยใช้กลยุทธ์ DCA และตัดสินใจลงทุน 3,000 บาททุกเดือนเป็นระยะเวลา 1 ปี ไม่ว่าราคาของ BTC จะเป็นเท่าใดในแต่ละเดือน จะซื้อ BTC มูลค่า 3,000 บาทอย่างสม่ำเสมอ
ตัวอย่างวิธีการดำเนินการ DCA
- กำหนดจำนวนเงินลงทุนและระยะเวลา: ตัดสินใจว่าจะลงทุน 3,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 12 เดือน รวมเป็นเงินลงทุนทั้งสิ้น 36,000 บาท
- เลือกวันที่ลงทุน: กำหนดวันที่แน่นอนในแต่ละเดือนที่จะทำการลงทุน เช่น วันที่ 1 ของทุกเดือน เพื่อสร้างวินัยในการลงทุน
- ดำเนินการซื้อ BTC: ในแต่ละเดือน ไม่ว่าราคาของ BTC จะเป็นเท่าใด เราต้องซื้อ BTC มูลค่า 3,000 บาทอย่างสม่ำเสมอ
จากตัวอย่าง การใช้กลยุทธ์ DCA ในการลงทุน Bitcoin เป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดและสร้างวินัยในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาและเลือกสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว และปฏิบัติตามแผนการลงทุนที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้

ข้อดีของการ DCA
การลงทุนแบบ Dollar-Cost Averaging (DCA) มีข้อดีหลายประการ ดังนี้
- สร้างวินัยในการลงทุน: การลงทุนแบบ DCA ช่วยสร้างวินัยในการลงทุน เนื่องจากนักลงทุนจะต้องลงทุนตามช่วงเวลาที่กำหนดเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนรายสัปดาห์หรือรายเดือน ซึ่งจะช่วยสร้างนิสัยการออมและการลงทุนที่ดี โดยเฉพาะในระยะยาว การทำเช่นนี้จะทำให้นักลงทุนมีวินัยในการจัดการเงินและสะสมเงินเพื่อเป้าหมายการลงทุนในอนาคต
- ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด: การลงทุนแบบ DCA ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาตลาด โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการขึ้นลงของราคาสินทรัพย์ในระยะสั้น ๆ เพราะการลงทุนในงวดที่สม่ำเสมอจะช่วยเฉลี่ยราคาซื้อ โดยอาจซื้อในราคาต่ำเมื่อราคาลดลงและซื้อในราคาสูงเมื่อราคาขึ้น ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดในระยะยาว
- ไม่ต้องจับจังหวะตลาด: หนึ่งในข้อดีสำคัญของ DCA คือช่วยให้นักลงทุนไม่ต้องพยายามจับจังหวะการซื้อหรือขายสินทรัพย์ให้ถูกต้องในช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งถือเป็นเรื่องยากสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ เพราะตลาดมีความผันผวนและไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแม่นยำ การลงทุนอย่างสม่ำเสมอในระยะยาวทำให้ไม่ต้องตัดสินใจอย่างรีบร้อนหรือกังวลเรื่องราคาสินทรัพย์ในช่วงเวลานั้น
- ช่วยกระจายความเสี่ยง: การลงทุนแบบ DCA สามารถช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี เนื่องจากการลงทุนอย่างสม่ำเสมอในสินทรัพย์เป้าหมายในระยะยาวจะทำให้เงินลงทุนไม่ถูกผลกระทบจากการลงทุนในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนมากเกินไป การกระจายความเสี่ยงนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุนจากการลงทุนในช่วงเวลาที่ตลาดไม่ดี
-
ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในการเริ่มต้นลงทุน: การลงทุนแบบ DCA ช่วยให้นักลงทุนไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในการเริ่มต้นลงทุน เนื่องจากสามารถแบ่งเงินลงทุนออกเป็นงวด ๆ ได้ การลงทุนเริ่มต้นเพียงแค่ 500 บาท หรือแม้แต่น้อยกว่านั้นก็สามารถทำได้ ด้วยการลงทุนอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว นักลงทุนนั้นสามารถสร้างมูลค่าของพอร์ตการลงทุนได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมากในครั้งเดียว
ข้อเสียของ DCA
แม้ว่าการลงทุนแบบ Dollar-Cost Averaging (DCA) เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้นักลงทุนลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาดที่ยากลำบาก อย่างไรก็ตาม การใช้ DCA ก็มีข้อเสียที่ควรพิจารณา ดังนี้:
- อาจพลาดโอกาสในช่วงตลาดขาขึ้น: เมื่อใช้ DCA นักลงทุนจะซื้อสินทรัพย์ด้วยจำนวนเงินเท่ากันในทุกงวด ซึ่งอาจทำให้พลาดโอกาสในการเพิ่มผลตอบแทนในช่วงที่ตลาดกำลังขาขึ้น หากลงทุนทั้งหมดในครั้งเดียวในช่วงเวลาที่เหมาะสม อาจได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า
- ผลตอบแทนอาจต่ำกว่าการลงทุนครั้งเดียวในช่วงเวลาที่เหมาะสม: หากตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น การลงทุนแบบ DCA อาจทำให้ได้จำนวนหน่วยลงทุนที่น้อยลง เนื่องจากราคาสินทรัพย์สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ผลตอบแทนรวมต่ำกว่าการลงทุนทั้งหมดในครั้งเดียวในช่วงเวลาที่เหมาะสม
- ต้องมีวินัยและความสม่ำเสมอในการลงทุน: การใช้ DCA ต้องการความสม่ำเสมอในการลงทุน หากขาดวินัยหรือไม่สามารถลงทุนตามแผนที่กำหนดไว้ อาจทำให้กลยุทธ์นี้ไม่ประสบความสำเร็จ
- อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนเร็ว: การลงทุนแบบ DCA เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว หากนักลงทุนต้องการผลตอบแทนในระยะสั้น อาจต้องพิจารณากลยุทธ์การลงทุนอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของตน
- การเลือกสินทรัพย์ที่ไม่เหมาะสม: หากเลือกสินทรัพย์ที่ไม่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว การลงทุนแบบ DCA อาจไม่ช่วยเพิ่มมูลค่าของพอร์ตการลงทุนได้ ควรศึกษาพื้นฐานและแนวโน้มของสินทรัพย์ก่อนการลงทุน

การเปรียบเทียบ DCA กับ Lump Sum
การลงทุนแบบ DCA คือการทยอยลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่า ๆ กันในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น ทุกเดือนหรือทุกไตรมาส โดยไม่คำนึงถึงราคาของสินทรัพย์ในขณะนั้น ในทางกลับกันการลงทุนแบบ Lump Sum คือการนำเงินก้อนมาลงทุนทั้งหมดในครั้งเดียว โดยหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า เนื่องจากเงินทั้งหมดถูกนำไปลงทุนทันทีและสามารถเติบโตได้เต็มที่ในช่วงเวลาที่ตลาดเป็นขาขึ้น
ดังนั้นการเปรียบเทียบระหว่าง Dollar-Cost Averaging (DCA) และ Lump Sum เป็นการพิจารณาวิธีการลงทุนที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันตามลักษณะของตลาดและสถานการณ์การลงทุน
ลักษณะ |
Dollar-Cost Averaging (DCA) |
Lump Sum |
ความเสี่ยง |
ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด |
ความเสี่ยงสูง หากตลาดไม่เป็นไปตามคาด |
ความสะดวก |
ต้องการการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ |
ง่ายและรวดเร็วในการลงทุนทั้งหมดในครั้งเดียว |
ผลตอบแทน |
อาจได้รับผลตอบแทนต่ำกว่าในตลาดขาขึ้น |
สามารถได้รับผลตอบแทนสูงหากเลือกเวลาที่ดี |
ความเหมาะสม |
เหมาะกับนักลงทุนระยะยาวและไม่ต้องการความเสี่ยงสูง |
เหมาะกับนักลงทุนที่สามารถจับจังหวะตลาดได้ดี |
ความยืดหยุ่น |
ใช้งานง่าย แม้มีเงินไม่มากก็สามารถลงทุนได้ |
ต้องใช้เงินจำนวนมากในการลงทุนครั้งเดียว |
การเลือกใช้กลยุทธ์ DCA หรือ Lump Sum ขึ้นอยู่กับลักษณะและวัตถุประสงค์ของนักลงทุน หากไม่ถนัดการจับจังหวะตลาดและต้องการความมั่นใจในการลงทุนระยะยาว DCA เป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากสามารถคาดการณ์ตลาดได้ดีและต้องการผลตอบแทนสูงในระยะสั้น Lump Sum อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมมากกว่า
เทคนิคการใช้ DCA ให้ได้ผลสูงสุด
การใช้กลยุทธ์ Dollar-Cost Averaging (DCA) อย่างมีประสิทธิภาพสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดและสร้างวินัยในการลงทุนได้ นี่คือเทคนิคที่สามารถนำไปปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนด้วย DCA
- กำหนดจำนวนเงินและความถี่ในการลงทุนที่เหมาะสม: เริ่มต้นด้วยการกำหนดจำนวนเงินที่สามารถจัดสรรเพื่อการลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอ และกำหนดความถี่ในการลงทุน เช่น รายสัปดาห์ รายเดือน หรือรายไตรมาส
- เลือกสินทรัพย์การลงทุนที่มีศักยภาพ: การเลือกสินทรัพย์ที่มีความผันผวนของราคาในระยะสั้นและมีโอกาสเติบโตในระยะยาว เช่น กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
- ใช้บริการ DCA อัตโนมัติจากบริษัทหลักทรัพย์หรือบริษัทจัดการกองทุน: การใช้บริการ DCA อัตโนมัติช่วยให้เราสามารถลงทุนอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการตัดสินใจลงทุนในแต่ละครั้ง และยังช่วยตัดอารมณ์ส่วนตัวออกไป
- ตรวจสอบและปรับพอร์ตการลงทุนเป็นระยะ: แม้ว่า DCA จะเป็นการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ แต่ก็ควรตรวจสอบและปรับพอร์ตการลงทุนเป็นระยะ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินและสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการ DCA
-
การลงทุนแบบ DCA เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน
การลงทุนแบบ Dollar-Cost Averaging (DCA) เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างวินัยในการลงทุนและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด โดยการลงทุนเป็นงวด ๆ ด้วยจำนวนเงินเท่า ๆ กันในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น รายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี วิธีนี้ช่วยให้นักลงทุนไม่ต้องกังวลเรื่องการจับจังหวะตลาด และสามารถเริ่มต้นได้ด้วยเงินลงทุนที่ไม่มาก
อย่างไรก็ตาม การลงทุนแบบ DCA อาจไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูงในระยะเวลาสั้น ๆ หรือผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ในการวิเคราะห์ตลาด เนื่องจากการลงทุนแบบ DCA มุ่งเน้นที่การสร้างวินัยและลดความเสี่ยงมากกว่าการหาผลตอบแทนสูงสุด
-
ทำไมต้องใช้ DCA แทนการซื้อครั้งเดียว
- ความสามารถในการรับความเสี่ยง: การซื้อหุ้นทั้งหมดในครั้งเดียวอาจเสี่ยงหากตลาดมีความผันผวนหรืออยู่ในภาวะขาลง นักลงทุนอาจประสบกับการขาดทุนได้หากการตัดสินใจลงทุนไม่ถูกต้อง
- วัตถุประสงค์และระยะเวลาการลงทุน: หากมีวัตถุประสงค์การลงทุนระยะยาวและต้องการสร้างวินัยในการออม การใช้ DCA อาจเหมาะสมกว่า เนื่องจากช่วยให้การลงทุนอย่างสม่ำเสมอและไม่ต้องกังวลเรื่องการจับจังหวะตลาด
-
ความรู้และประสบการณ์ในการวิเคราะห์ตลาด: การซื้อหุ้นทั้งหมดในครั้งเดียวต้องการความรู้และประสบการณ์ในการวิเคราะห์ตลาดอย่างลึกซึ้ง หากไม่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ การใช้ DCA อาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า
-
ควรทำ DCA รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน
การกำหนดความถี่ในการลงทุนแบบ Dollar-Cost Averaging (DCA) เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน ควรพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
- ความสม่ำเสมอและความสะดวกในการลงทุน: การลงทุนในความถี่ที่สอดคล้องกับกระแสเงินสด จะช่วยให้การลงทุนเป็นไปอย่างต่อเนื่องและไม่กระทบต่อการใช้จ่ายประจำวัน หากได้รับเงินเดือนรายเดือน การกำหนดให้การลงทุน DCA เป็นรายเดือนในวันที่ได้รับเงินเดือนอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการใช้จ่ายเงินที่จัดสรรไว้สำหรับการลงทุนไปในทางอื่น ๆ
- ผลกระทบต่อผลตอบแทนและความเสี่ยง: จากการศึกษาพบว่า ความถี่ในการลงทุน DCA ไม่ได้มีผลต่ออัตราผลตอบแทนที่ได้รับอย่างชัดเจน แต่การลงทุนที่มีความถี่มากขึ้น เช่น รายวันหรือรายสัปดาห์ จะช่วยลดความผันผวนของอัตราผลตอบแทน เนื่องจากการเฉลี่ยต้นทุนจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาว่าความถี่ในการลงทุนมากขึ้นอาจเพิ่มภาระในการจัดการและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย
-
ความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุน: สำหรับคนที่มีมีวัตถุประสงค์การลงทุนระยะยาวและต้องการสร้างวินัยในการออม การกำหนดความถี่ในการลงทุนให้สอดคล้องกับรอบรายได้ เช่น รายเดือน อาจช่วยในการรักษาระดับการออมได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
Conclusion
การลงทุนแบบ Dollar-Cost Averaging (DCA) เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดและสร้างวินัยในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ด้วยการลงทุนจำนวนเงินเท่า ๆ กันในสินทรัพย์ที่เลือกในระยะเวลาที่กำหนด เช่น รายเดือน หรือรายสัปดาห์ ทั้งนี้ การเลือกใช้ DCA ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การลงทุนและความสามารถในการรับความเสี่ยงของนักลงทุนแต่ละคน โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่หรือผู้ที่ไม่มั่นใจในการวิเคราะห์ตลาด การลงทุนแบบ DCA ถือเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมและปลอดภัยในการเริ่มต้นสร้างพอร์ตการลงทุนระยะยาว
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด
อ้างอิง
Share this
- Bitazza Blog (117)
- Crypto Weekly (47)
- DAO (15)
- Beginner (14)
- mission (11)
- ความปลอดภัย (11)
- Tether (USDt) (8)
- บล็อกเชน (8)
- bitcoin (7)
- missions (7)
- Learning Hub (6)
- การค้าขาย (6)
- หัวข้อเด่น (6)
- ตลาด (5)
- วิจัย (5)
- Campaigns (3)
- Security (3)
- เศรษฐศาสตร์ (3)
- Bitazza Insights (2)
- Social Features (2)
- Stablecoin (2)
- Token talk (2)
- Trading (2)
- TradingView (2)
- เกี่ยวกับการสอน (2)
- Crypto รายสัปดาห์ (1)
- Disclosure (1)
- ENJ (1)
- Educational (1)
- Featured (1)
- KYC (1)
- NFTs (1)
- SEC (1)
- TRUMP (1)
- บิทาซซ่าบล็อกส์ (1)
Subscribe by email

WLD Coin คืออะไร? เจาะลึก Worldcoin และระบบยืนยันตัวตนด้วยดวงตา

TIA Coin คืออะไร? Celestia กับการเปลี่ยนโฉมบล็อกเชนแบบ Modular

STG Coin คืออะไร? Stargate Protocol และระบบสะพานข้ามบล็อกเชน

LINK Coin คืออะไร? เหรียญจาก Chainlink ตัวกลางข้อมูลสู่บล็อกเชน

KSM Coin คืออะไร? เจาะลึก Kusama เครือข่ายทดสอบของ Polkadot

ZETA Coin คืออะไร? เหรียญน้องใหม่ในระบบ Cross-Chain DeFi

WAN Coin คืออะไร? เหรียญจาก Wanchain กับโซลูชันเชื่อมต่อบล็อกเชน

NEAR Coin คืออะไร? แพลตฟอร์มบล็อกเชนใช้งานง่ายสำหรับทุกคน

มาเลเซียเปิดตัวฮับสินทรัพย์ดิจิทัล เตรียมทดลอง Stablecoin ผูกเงินริงกิต
