Share this
Blockchain คืออะไร รู้จักเทคโนโลยีแห่งโลก DeFi

เชื่อว่าคำถามอย่าง Blockchain คืออะไรนั้น ยังคงเป็นหัวข้อสนทนาในตอนนี้แม้กระแสสินทรัพย์ดิจิทัลอาจถูกกล่าวถึงน้อยลงก็ตาม เพราะเทคโนโลยีดังกล่าวได้เข้ามามีบทบาทกับแวดวงธุรกิจและกลุ่มอุตสาหกรรมหลากหลาย อีกทั้งยังถูกนำไปปรับใช้กับการทำธุรกรรมและกิจกรรมที่กว้างขวาง ไม่ได้จำกัดแค่โลกเสมือนและการลงทุน
มาดูกันว่า จริง ๆ แล้ว ความหมายของ Blockchain คืออะไร เป็นแบบไหน มีอะไรบ้าง แล้วนำไปใช้ประโยชน์ด้านใดบ้าง รวมทั้งแนวโน้มของเทคโนโลยีนี้จะเติบโตไปในทิศทางใด
เทคโนโลยี Blockchain คืออะไร
บล็อกเชน (Blockchain) คือ เทคโนโลยีดิจิทัลแบบกระจายอำนาจหรือ Decentralized ว่าด้วยแนวคิดการใช้งานด้านการบันทึกและจัดเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นการทำงานเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่ายบล็อกเชนด้วยกัน ส่งผลให้เกิดความโปร่งใส รวมทั้งไม่สามารถปลอมแปลงหรือดัดแปลงคัดลอกได้ เพราะหลักการทำงานของบล็อกเชน การแบ่ง “บล็อก” ซึ่งบรรจุข้อมูล โดยต้องได้รับการยืนยันและตรวจสอบความถูกต้องของคอมพิวเตอร์ที่เป็น “โหนด” ภายในเครือข่ายทั้งหมดไปในทางเดียวกัน
คุณสมบัติดังกล่าวจึงถือว่ามีบทบาทสำคัญกับโลกคริปโตเคอร์เรนซีไม่น้อย เพราะช่วยให้เกิดความปลอดภัยในการทำธุรกรรม รวมทั้งสร้างวัฒนธรรมการตรวจสอบข้อมูลแบบกระจายอำนาจ ไม่ได้รวมศูนย์ นอกจากนี้ บล็อกเชนยังนับเป็นเทคโนโลยีที่นำไปประยุกต์ใช้กับหน่วยธุรกิจและอุตสาหกรรมอื่นได้อีกด้วย
องค์ประกอบของ Blockchain มีอะไรบ้าง
สำหรับองค์ประกอบของ Blockchain หลัก ๆ จะประกอบด้วย เทคโนโลยี Distributed Ledger Technology การบันทึกแบบ Immutable และ Smart Contracts ดังนี้
1. เทคโนโลยี Distributed ledger technology
หรือการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ โดยเปิดให้ผู้เข้าร่วมเครือข่าย Blockchain เข้าถึงการจัดเก็บข้อมูลธุรกรรมที่ทุกคนเข้าถึงได้ และเมื่อทุกคนเข้าถึงข้อมูลได้ การบันทึกและล็อกข้อมูลธุรกรรมจึงทำได้ครั้งเดียว ทำให้ไม่เกิดความเสี่ยงในการทำซ้ำข้อมูลธุรกรรมขึ้นมาใหม่
2. การบันทึกแบบ Immutable
หรือการบันทึกข้อมูลที่ไม่สามารถดัดแปลงหรือเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าเดิมได้ กล่าวคือ ผู้เข้าร่วมเครือข่ายไม่สามารถเปลี่ยนข้อมูลใด ๆ ได้ หากไม่ได้รับการตรวจสอบและยืนยันจากผู้เข้าร่วมเครือข่ายทุกคน หากข้อมูลธุรกรรมเกิดข้อผิดพลาด และสร้างข้อมูลธุรกรรมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง บล็อกก็จะปรากฏข้อมูลธุรกรรมทั้งสองรอบให้เห็นโดยทั่วกัน
3. Smart Contracts
มีบทบาทในการจัดเก็บข้อมูลบนเครือข่าย Blockchain และดำเนินการโดยอัตโนมัติ ส่งผลให้ทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังนำมาใช้ในการกำหนดเงื่อนไขของการถ่ายโอนตราสารหนี้ของบริษัท ครอบคลุมทั้งเงื่อนไขของกรมธรรม์ และอื่น ๆ ได้ด้วย

หลักการทำงานของ Blockchain
บล็อกเชน (Blockchain) มีหลักการทำงานคล้ายกับฐานข้อมูลทั่วไป กล่าวคือ บล็อกเชนทำหน้าที่บรรจุและบันทึกข้อมูลไว้ในบล็อก แต่จุดต่างอยู่ที่การจัดวางโครงสร้างและเข้าถึงข้อมูล เพราะบล็อกเชนประกอบด้วยสคริปต์ที่ใช้สั่งการเรื่องใส่และเข้าถึงข้อมูล ตลอดจนกระจายข้อมูลนั้นไปยัง “โหนด” อื่นภายในเครือข่าย
เรียกง่าย ๆ คือ ข้อมูลที่บันทึกบนบล็อกเชนนั้นจะปรากฏยังเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่อยู่ภายใต้เครือข่ายบล็อกเชนเดียวกัน ที่สำคัญ ข้อมูลเหล่านั้นต้องได้รับการตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องพ้องกันจากโหนดทุกตัวในเครือข่าย
หากนำบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้กับการทำข้อมูลธุรกรรม สามารถเริ่มจากการใส่ข้อมูลทางธุรกรรม (ซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล) เข้ามาในบล็อกของเครือข่าย จากนั้นข้อมูลจะถูกส่งต่อไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นที่อยู่ในบล็อกเชนเดียวกัน โดยไม่จำกัดว่าคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายนั้นจะอยู่ในส่วนใดของโลก เรียกการทำงานลักษณะนี้ว่า Peer-to-Peer จากนั้นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในบล็อกเชนทั้งหมดจะร่วมกันตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของข้อมูลธุรกรรม
เมื่อทุกอย่างได้รับการยืนยันแล้ว ข้อมูลธุรกรรมที่ใส่เข้ามาในบล็อกนั้นจะถูกล็อก พร้อมปรากฏรายละเอียดของประวัติการทำธุรกรรมเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งเห็นโดยทั่วกัน ไม่สามารถดัดแปลงหรือคัดลอกได้หากไม่ได้รับการตรวจสอบจากโหนดในเครือข่ายร่วมกัน ทั้งหมดนี้ จึงถือเป็นการทำธุรกรรมบนบล็อกเชนที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์
ทำความเข้าใจประเภทของ Blockchain
โดยทั่วไปแล้ว Blockchain ยังแยกย่อยออกมาอีกหลายประเภท โดยอิงจากวิธีการสร้างเครือข่าย Blockchain ขึ้นมา ประกอบด้วย Public Blockchain, Private Blockchain และ Permissioned Blockchain ซึ่งมีรายละเอียดต่างกัน ดังนี้
1. Public Blockchain
ถือเป็นหนึ่งในเครือข่าย Blockchain ที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยและมีโอกาสได้ใช้งานกันมาพอสมควร เพราะ Blockchain ประเภทนี้ก็คือ Bitcoin หรือ Ethereum ซึ่งเปิดให้ผู้คนทั่วไปเข้าร่วมใช้งานได้ ข้อจำกัดของ Public Blockchain จึงอยู่ที่ต้องใช้พลังงานสูง ความเป็นส่วนตัวในการทำธุรกรรมน้อย กลุ่มองค์กรจึงอาจต้องพิจารณาข้อจำกัดนี้เป็นสำคัญหากต้องการประยุกต์เครือข่าย Blockchain เข้ากับหน่วยธุรกิจหรือการทำงานภายในองค์กร
2. Private Blockchain
เครือข่ายประเภทนี้คล้ายกับ Public Blockchain ตรงที่มีคุณสมบัติของการกระจายศูนย์ หรือ Decentralized และใช้เครือข่ายแบบ Peer-to-Peer ถึงอย่างนั้น ก็มีความแตกต่างอยู่บ้าง เพราะองค์กรถือสิทธิ์ขาดในการบริหารจัดการเครือข่าย สามารถควบคุมและให้สิทธิ์การเข้าถึงเครือข่ายเป็นรายบุคคลได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะนำไปใช้ในกรณีไหนบ้าง จุดเด่นคือ องค์กรสามารถเลือกได้ว่าจะเปิดรันระบบเครือข่ายผ่าน Firewall ของบริษัทเอง ซึ่งถือว่าช่วยทำให้มั่นใจได้ระดับหนึ่งในเรื่องของความปลอดภัย
3. Permissioned Blockchain
ว่าด้วยเครือข่าย Blockchain ที่ตั้งค่าจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงและใช้งานเครือข่าย โดยตั้งค่ากำหนดได้ว่า ใครจะได้รับอนุญาตให้เข้าใช้งานภายในเครือข่าย รวมทั้งจะทำธุรกรรมอะไรได้บ้าง โดยผู้ใช้งานที่ได้รับอนุญาตจะได้รับคำเชิญคำร่วมเท่านั้น
ข้อดีและข้อเสียของ Blockchain
เมื่อทำความรู้จัก Blockchain และเข้าใจหลักการทำงานเบื้องต้นแล้วนั้น ลองมาพิจารณากันว่า จริง ๆ แล้ว เทคโนโลยีบล็อกเชนมีข้อดีและข้อเสียด้านไหนบ้าง
ข้อดีของ Blockchain
- ยกระดับของขั้นตอนการทำงานในหลายอุตสาหกรรมให้แม่นยำมากขึ้นเพราะช่วยลดข้อผิดพลาดจากการทำงานซ้ำ ๆ ของมนุษย์ ซึ่งเสี่ยงเกิดข้อผิดพลาดได้
- ลดค่าใช้จ่ายในกระบวนการผลิต ขนส่ง หรือดำเนินการของหน่วยธุรกิจภายในองค์กร เพราะไม่ต้องใช้บุคลากรหรือผู้เชี่ยวชาญภายนอกมาช่วยตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของข้อมูล
- ลดความเสี่ยงการดัดแปลง สำเนา หรือบิดเบือนข้อมูลธุรกรรม ข้อมูลส่วนตัว และอื่น ๆ
- ทำธุรกรรมได้อย่างปลอดภัย เป็นส่วนตัว และมีประสิทธิภาพ
- เอื้อให้เกิดความโปร่งใสในการทำธุรกรรมหรือประยุกต์ใช้ในการบันทึกข้อมูลอื่นภายในองค์กร เพราะทุกข้อมูลต้องได้รับการตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องจากทุกฝ่ายบนเครือข่ายก่อน
- เปิดโอกาสทางเลือกในการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะองค์กรหรือหน่วยงานที่จำเป็นต้องบริหารจัดการข้อมูลของบุคคลจำนวนมาก
ข้อเสียของ Blockchain
- ตัวเลขของอัตราการทำธุรกรรมต่อวินาทีค่อนข้างต่ำ
- เคยมีประวัติถูกนำไปใช้กับกิจกรรมผิดกฎหมายอย่าง Dark Web ซึ่งอาจต้องพิจารณาในการเลือกใช้เครือข่าย Blockchain อย่างรอบคอบ
- มีข้อบังคับและข้อกำหนดที่บังคับใช้ในแต่ละประเทศหรือพื้นที่แตกต่างกัน จำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจอย่างรอบคอบ
- พื้นที่จัดเก็บข้อมูลมีจำกัด

ประโยชน์ของ Blockchain ในแต่ละด้าน
นอกจากประยุกต์ใช้ในการทำธุรกรรมซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแล้วนั้น Blockchain ยังถูกนำไปปรับใช้ในหลากหลายวงการธุรกิจและอุตสาหกรรม ดังนี้
-
ธนาคารและการเงิน
แม้แต่สถาบันการเงินที่เน้นการบริหารจัดการตามแนวคิดรวมศูนย์ (Centralization) ยังประยุกต์ใช้ประโยชน์ของ Blockchain เข้ามาใช้ในการให้บริการแก่ลูกค้า โดยลูกค้าที่ทำธุรกรรมกับธนาคารหรือสถาบันการเงินสามารถเข้าถึงและเห็นข้อมูลธุรกรรมได้ตลอดเวลา ไม่จำกัดเวลาทำการและเวลาวันหยุด นอกจากนี้ ยังครอบคลุมถึงโอกาสการแลกเปลี่ยนกองทุนระหว่างสถาบันการเงิน ซึ่งเอื้อให้ดำเนินการดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
-
สุขภาพและการแพทย์
ผู้ให้บริการด้านพยาบาลและการแพทย์ ยกระดับการทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านการประยุกต์ใช้ Blockchain จัดเก็บข้อมูลของผู้ป่วยอย่างเป็นระบบและเป็นส่วนตัว เพราะเมื่อได้บันทึกข้อมูลและลงชื่อกำกับแล้วนั้น ข้อมูลทั้งหมดก็จะถูกล็อกในบล็อกของเครือข่ายทันที ทำให้ผู้ป่วยมั่นใจได้ว่าข้อมูลของตนจะไม่ถูกดัดแปลงหรือบิดเบือน นอกจากนี้ ข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยจะถูกเข้ารหัส และจัดเก็บบน Blockchain ด้วย Private Key นั่นหมายความว่า ผู้เข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้จะเป็นผู้ที่ได้รับผิดชอบและถือ Private Key เท่านั้น
-
กรรมสิทธิ์ทรัพย์สินและที่ดิน
จุดเด่นของ Blockchain เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการเดินทางไปสำนักงานเพื่อทำเรื่องถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ดังกล่าว ซึ่งเดิมทีใช้เวลาค่อนข้างนาน ขั้นตอนซับซ้อน รวมทั้งเสี่ยงเกิดความผิดพลาดจากการบันทึกด้วยมือได้ โดย Blockchain จะช่วยบันทึกข้อมูลและตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของเอกสารทั้งหมด ส่งผลให้เจ้าของลดเวลาการอ่านเอกสารหลายหน้าได้
-
เครือข่ายโลจิสติกส์
ซัพพลายเออร์สามารถใช้ประโยชน์ของ Blockchain ช่วยบันทึกข้อมูลวัตถุดิบจากต้นทางที่ได้ซื้อมาแล้วว่ามีคุณภาพ และตรงตามต้องการหรือไม่ ซึ่งช่วยให้ตรวจสอบความถูกต้องของสินค้า ตลอดจนฉลากบนสินค้าได้อย่างแม่นยำ ไม่เพียงเท่านั้น ยังครอบคลุมไปถึงการใช้ Blockchain ช่วยติดตามการขนส่งสินค้า และข้อมูลความปลอดภัยของสินค้านับตั้งแต่เก็บมาจากแหล่งเพาะปลูก ตลอดจนส่งถึงมือผู้บริโภคอีกด้วย
ความสำคัญของเทคโนโลยี Blockchain
หากกล่าวให้เข้าใจง่ายที่สุดแล้ว ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันทุกองค์กรล้วนขับเคลื่อนด้วยการถือครอง “ข้อมูล” ยิ่งการส่งต่อและรับสารของข้อมูลนั้นรวดเร็วมากเท่าไหร่ และแม่นยำเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลดีต่อการทำงานภายในองค์กร และการขับเคลื่อนธุรกิจมากขึ้นเท่านั้น
แน่นอนว่า คุณสมบัติของเครือข่าย Blockchain รองรับการรับส่งข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเอื้อให้ส่งข้อมูลได้รวดเร็ว แบ่งปันระหว่างบุคคลภายในเครือข่าย รวมทั้งจัดเก็บข้อมูลได้อย่างปลอดภัย เข้าถึงได้เฉพาะบุคคลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น อีกทั้งยังประยุกต์ใช้ในธุรกิจได้หลากหลาย ทั้งช่วยติดตามคำสั่งซื้อสินค้า ตรวจสอบรายละเอียดการชำระเงินย้อนหลัง และอื่น ๆ
ตัวอย่าง Blockchain ในไทย
เมื่อกลับมามองในไทยเอง ก็มีการปรับใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในหลากหลายอุตสาหกรรม ครอบคลุมทั้งในภาครัฐและเอกชน ดังนี้
1. บริการจากภาครัฐ
หน่วยงานภาครัฐในไทยได้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Blockchain เข้ามา เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพในการทำงานและให้บริการประชาชนส่วนต่าง ๆ โดย Blockchain ช่วยให้ขั้นตอนการทำงานคล่องตัวขึ้น ลดค่าใช้จ่ายบางส่วนออกไป รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดความโปร่งใสในการทำงานและจัดเก็บข้อมูล เช่น สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (Digital Government Development Agency; DGA) ทำบริการ ME-D และ ME-Vote ซึ่งมุ่งเน้นด้านการยืนยันตัวตนในโลกดิจิทัลอย่างปลอดภัยและโปร่งใส เป็นต้น
2. บริการทางการเงิน
องค์กรเกี่ยวกับกลุ่มธุรกิจทางการเงินได้ประยุกต์ใช้ Blockchain อย่างแพร่หลาย เพื่อยกระดับด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการให้บริการ เห็นได้จากธนาคารแห่งประเทศไทยชูประเด็นด้านการออมพันธบัตรรัฐบาลบนเครือข่าย Blockchain เพื่อลดเวลาการทำธรุกรรม รวมทั้งสร้างความโปร่งใสและตรวจสอบได้
3. ด้านการท่องเที่ยว
ประเทศไทยได้เริ่มทำ Pilot-test โดยริเริ่มนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ชำระเงินคริปโตฯ ในการท่องเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ต โดยนักท่องเที่ยวสามารถลงทะเบียนแพลตฟอร์ม Exchange ของไทย และนำสินทรัพย์ในบัญชีของตนใช้จ่ายได้ โดยเปลี่ยนเงินบิตคอยน์ที่มีให้กลายเป็นเงิน Fiat (เงินบาท) แคมเปญนี้มุ่งหวังให้เกิดทางเลือกการชำระเงินสำหรับนักท่องเที่ยวอีกทางหนึ่ง

อนาคตของ Blockchain จะเป็นอย่างไร
ปี 2025 นี้ เทคโนโลยี Blockchain ยังคงเดินหน้าพัฒนาและเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังส่งอิทธิพลต่อหลายภาคส่วน ไล่มาตั้งแต่กลุ่มโทเคนและการลงทุนสินทรัพย์ต่าง ๆ โดยจะเกิดการแปลงสินทรัพย์ต่าง ๆ มาอยู่ในรูปของโทเคนดิจิทัลบนเครือข่าย Blockchain และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดสภาพคล่องและการเข้าถึงสินทรัพย์ได้มากขึ้น
เช่นเดียวกัน แพลตฟอร์ม DeFi จะเติบโตขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยจะเปิดให้บริการทั้งการยืม ให้ยืม และเทดสินทรัพย์แบบไร้ตัวกลาง ที่สำคัญ ผู้คนจะเข้าถึงแพลตฟอร์ม DeFi ได้มากขึ้น เพราะ Blockchain มี Smart Contracts ขั้นสูง ผนวกกับการปรับใช้ Layer 2 มากขึ้นนั้น ทำให้เครือข่าย Blockchain คล่องตัวมากขึ้น และช่วยลดค่าธรรมเนียม
นอกจากนี้ กระแสของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ก็ยิ่งทำให้เทคโนโลยีดังกล่าวเดินหน้าขับเคลื่อนไปอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ เพราะทั้งสองนวัตกรรมจะช่วยให้เกิดเครือข่ายการทำงานแบบอัตโนมัติและเปี่ยมประสิทธิภาพ โดย Blockchain ชูจุดเด่นของการสร้างกรอบการทำงานแบบปลอดภัยและโปร่งใส เมื่อนำมาประยุกต์เข้ากับปัญญาประดิษฐ์แล้วนั้น จะข่วยตรวจสอบและคัดกรองคลังข้อมูลที่ป้อนเข้ามาได้ว่าน่าเชื่อถือและถูกต้องหรือไม่ แนวคิดดังกล่าวจะถูกนำไปปรับใช้กับกลุ่มธุรกิจที่ต้องรองรับข้อมูลมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน การแพทย์และสุขภาพ รวมทั้งการจัดการโลจิสติกส์
เมื่อกล่าวถึงฝั่งโลจิสติกส์แล้ว Blockchain มีบทบาทสำคัญในธุรกิจนี้ โดยจะช่วยยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะคุณสมบัติด้านการบันทึกรายการธุรกรรมหรือข้อมูลที่ไม่สามารถแก้ไขและดัดแปลงได้ ส่งผลให้เกิดความโปร่งใสในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ที่สำคัญ Blockchain ยังช่วยลดความเสี่ยงการปลอมแปลงสินค้า และเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ จากการประยุกต์ใช้จุดเด่นของเทคโนโลยีเข้ามาใช้กับงานที่ต้องติดตามและตรวจสอบสินค้า
Conclusion
ถึงตรงนี้ อาจได้เห็นแล้วว่า Blockchain ไม่เพียงเป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับโลกการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรมหลากหลาย ครอบคลุมทั้งกิจกรรมและการทำธุรกรรมทั้งในระดับบุคคลและองค์กร ด้วยคุณสมบัติเด่นที่เน้นเรื่องการตรวจสอบข้อมูลแบบ Peer-to-Peer แก้ไข ดัดแปลง หรือทำซ้ำข้อมูลไม่ได้ จึงทำให้การประยุกต์ใช้ Blockchain นั้น ช่วยสร้างคอมมูนิตี้ที่เต็มไปด้วยความโปร่งใส่และกระจายศูนย์อีกทางหนึ่ง
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด
อ้างอิง
Share this
- Bitazza Blog (96)
- Crypto Weekly (44)
- DAO (15)
- Beginner (14)
- mission (11)
- ความปลอดภัย (11)
- Tether (USDt) (8)
- บล็อกเชน (8)
- bitcoin (7)
- missions (7)
- Learning Hub (6)
- การค้าขาย (6)
- หัวข้อเด่น (6)
- ตลาด (5)
- วิจัย (5)
- Campaigns (3)
- Security (3)
- เศรษฐศาสตร์ (3)
- Bitazza Insights (2)
- Stablecoin (2)
- Token talk (2)
- Trading (2)
- เกี่ยวกับการสอน (2)
- Crypto รายสัปดาห์ (1)
- Disclosure (1)
- ENJ (1)
- Educational (1)
- Featured (1)
- KYC (1)
- NFTs (1)
- SEC (1)
- Social Features (1)
- TRUMP (1)
- TradingView (1)
- บิทาซซ่าบล็อกส์ (1)
Subscribe by email

Trump Media เตรียมระดมทุนซื้อ Bitcoin 2.5 พันล้านดอลลาร์และยื่นจัดตั้ง Bitcoin ETF

RSI คืออะไร? เจาะลึกอินดิเคเตอร์ยอดฮิต เข้าใจภายใน 5 นาที

Swap คืออะไร? ทำไมสาย DeFi ต้องรู้ก่อนพลาดโอกาสในโลกคริปโต

Yield คืออะไร? เข้าใจผลตอบแทนแบบนักลงทุนมือโปร

IPO คืออะไร? รู้ก่อนลงทุนในหุ้นน้องใหม่

อุปทาน (Supply) คืออะไร? ทำไมส่งผลต่อราคาสินทรัพย์

SSF คืออะไร? ลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่ เหมาะกับใคร?

Ultron Coin คืออะไร? ทำความรู้จักกับเหรียญดิจิทัลมาแรงในปี 2025

Bitazza on the Road! โพสต์ภาพเราบนถนนในกรุงเทพ รับเมิร์ชสุดคูล
