RSI คืออะไร? เจาะลึกอินดิเคเตอร์ยอดฮิต เข้าใจภายใน 5 นาที

เคยสงสัยไหมว่านักเทรดมือโปรเขามีตัวช่วยอะไรในการเทรดที่ทำให้วิเคราะห์และตัดสินใจได้แม่นยำยิ่งขึ้น หนึ่งในคำตอบคงหนีไม่พ้น “RSI” หรือ “Relative Strength Index” ตัวชี้วัดทางเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แล้ว RSI คืออะไร? มีหลักการใช้งานอย่างไร? บทความนี้จะตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับ RSI อินดิเคเตอร์ตัวดังที่จะทำให้เทรดได้อย่างมืออาชีพ มาเริ่มกันเลย!

RSI คืออะไร

RSI (Relative Strength Index) คือ ดัชนีชี้วัดทางเทคนิคประเภท Momentum Oscillator ที่ใช้วัดความเร็วและการเปลี่ยนแปลงของราคา เพื่อตรวจสอบว่าราคานั้นอยู่ในภาวะที่ถูกซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือถูกขายมากเกินไป (Oversold) โดย RSI Indicator ถูกพัฒนาขึ้นโดย J.Welles Wilder Jr. ในปี 1978 และได้ตีพิมพ์ในหนังสือ “New Concepts in Technical Trading Systems” ซึ่งปัจจุบัน RSI ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการเทรด

หลักการทำงานของ RSI

RSI จะเป็นการวัด “แรงซื้อ” และ “แรงขาย” ในตลาดว่าตอนนี้ใครมีความแข็งแกร่งกว่ากัน โดยมักจะใช้ช่วงเวลา 14 วันเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของราคา 

RSI มีสูตรการคำนวณ คือ

RSI = 100 - [100/(1+(Average Gain/Average Loss)]

การอ่านค่า RSI เบื้องต้น

RSI มีสเกลอยู่ระหว่าง 0-100 ซึ่งการอ่านค่ามีหลักการพื้นฐานที่เทรดเดอร์ควรรู้ ดังนี้

• ค่าสูงกว่า 70: บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะ “ซื้อมากเกินไป” (Overbought) ที่ราคาเกิดการพุ่งเร็วในระยะเวลาสั้น ๆ เนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายสูงเกินไป 
• ค่าอยู่ใกล้ 50: บ่งชี้ว่าเกิดภาวะ “เป็นกลาง” ระหว่างแรงซื้อและแรงขาย เนื่องจากตลาดยังไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน
• ค่าต่ำกว่า 30: บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะ “ขายมากเกินไป” (Oversold) ที่ราคาลดลงอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้น ๆ เนื่องจากมีปริมาณการขายสูงเกินไป

ตัวอย่างการใช้งาน RSI ในการเทรด 

RSI Indicator คือ เครื่องมือที่มีความยืดหยุ่นและสามารถนำไปใช้ในการเทรดได้หลากหลาย เช่น 

1. การระบุสภาวะ Overbought/Oversold: ใช้เพื่อระบุการซื้อหรือขายในตลาดที่มากเกินไป
2. การระบุแนวโน้ม Divergence: ใช้เพื่อหาสัญญาณการกลับตัวแบบขาขึ้นและขาลงของราคา
3. การตามเทรนด์: ใช้เพื่อยืนยันแนวโน้มทิศทางของเทรนด์ว่าอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง 
4. การ Swing Trading: ใช้เพื่อระบุการเคลื่อนไหวตามการขึ้นลงของราคา 

การมองหา Divergence ระหว่างกราฟราคาและ RSI

RSI Divergence คือ เหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างราคาและทิศทางของ RSI สวนทางกัน ซึ่งมักจะใช้เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าแนวโน้มราคาปัจจุบันอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และเกิดการกลับตัวเร็ว ๆ นี้

• Bullish Divergence

Bullish Divergence หรือ “สัญญาณกลับตัวขาขึ้น” เกิดขึ้นเมื่อกราฟราคาทำจุดต่ำใหม่ที่ต่ำกว่าจุดต่ำเดิม แต่ RSI สร้างจุดต่ำใหม่ที่สูงกว่าจุดต่ำเดิม แปลว่ามีสัญญาณของ Upward Trend และราคากำลังจะกลับตัวขึ้น ซึ่งเหมาะกับการซื้อ

• Bearish Divergence

“สัญญาณกลับตัวขาลง” เกิดขึ้นเมื่อกราฟราคาทำจุดสูงใหม่ที่สูงกว่าจุดสูงเดิม แต่ RSI สร้างจุดสูงใหม่ที่ต่ำกว่าจุดสูงเดิม แปลว่ามีสัญญาณของ Downward Trend และราคากำลังจะกลับตัวลง ซึ่งเหมาะกับการขาย

ตัวอย่างการใช้งาน RSI กับเหรียญคริปโต

การใช้ RSI ในตลาดคริปโต เช่น Bitcoin และ Ethereum สามารถช่วยให้นักเทรดระบุจุดซื้อขายของราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อ RSI ต่ำกว่า 30 ก็แสดงถึงจังหวะที่ดีในการซื้อ และ RSI สูงกว่า 70 จะบ่งบอกถึงจังหวะในการทำกำไร ยกตัวอย่างเหตุการณ์ RSI ของ Ethereum ที่ได้เข้าสู่ภาวะ Oversold ในปี 2022 โดยมีค่า RSI อยู่ที่ 26.79 ทำให้กลุ่มนักลงทุนมองว่าเป็นสัญญาณที่ดีในการซื้อ มากกว่าไปนั้นเทรดเดอร์สามารถใช้ RSI Indicator เพื่อสังเกต Divergence ระหว่างกราฟราคาและ RSI ซึ่งช่วยให้เห็นถึงแนวโน้มที่อาจสวนทางกัน ส่งผลให้สามารถประเมินจังหวะเทรดที่แม่นยำมากยิ่งขึ้นท่ามกลางความผันผวนสูงของตลาดคริปโต

ข้อดีของการใช้ RSI

• การใช้งานที่ไม่ซับซ้อน: RSI เป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน และสามารถแปลความหมายได้แม้เป็นเทรดเดอร์มือใหม่ 

• สัญญาณการซื้อขาย: RSI Indicator ช่วยระบุสภาวะของตลาดไม่ว่าจะ Overbought หรือ Oversold จากระดับที่ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถช่วยประกอบการตัดสินใจซื้อขายได้

• ความนิยมสูง: เนื่องจาก RSI สามารถประยุกต์ใช้ได้กับตลาดหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ฟอเร็กซ์ และคริปโตเคอร์เรนซี จึงทำให้มีความน่าเชื่อถือสูงและเป็นที่นิยมในหมู่นักเทรด

ข้อควรระวังเมื่อใช้ RSI

• สัญญาณหลอก: RSI สามารถสร้าง False Signal ได้ โดยเฉพาะในตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำ หรือเหตุการณ์ที่ทำให้ราคาปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

• ความล่าช้า: เพราะ RIS เป็นตัวบ่งชี้ที่ตามหลัง (Lagging Indicator) มักจะเคลื่อนไหวด้วยความล่าช้าที่เล็กน้อย ซึ่งอาจให้สัญญาณช้ากว่าการเปลี่ยนแปลงจริงของราคา

• การใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่น: RSI ไม่ใช่ตัวชี้วัดที่สามารถยืนยันการดำเนินการเทรดทันที ดังนั้น ไม่ควรพึ่ง RSI เพียงอย่างเดียว แต่ใช้ควบคู่กับตัวชี้วัดอื่น ๆ ร่วมด้วย

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ RSI 

• RSI ใช้กับคริปโตได้ไหม?

RSI อินดิเคเตอร์ สามารถใช้กับการเทรดคริปโตเคอร์เรนซีได้ อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่นักเทรดนิยมใช้ คริปโตเป็นสินทรัพย์ดิจิตอลที่มีความผันผวนสูง และราคามีการเคลื่อนไหวแบบไม่หยุดพัก RSI จึงเป็นตัวชี้วัดที่ดีในการวิเคราะห์ภาวะความแข็งแกร่งของตลาด

• RSI 30 กับ RSI 70 เชื่อถือได้แค่ไหน?

RSI 30 กับ RSI 70 ถือว่าเป็นค่ามาตราฐานที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง จึงมีความน่าเชื่อถือสามารถใช้เป็นแนวทางได้ แต่ไม่ใช่เครื่องมือยืนยันการซื้อขาย ดังนั้น เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เทรดเดอร์ควรใช้เครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ ประกอบการตัดสินใจการลงทุนร่วมด้วย

• ใช้ RSI กับกราฟรายวันหรือรายชั่วโมงดีกว่า?

การใช้ RSI กราฟรายวันหรือรายชั่วโมงนั้นขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการเทรด

• • RSI รายวัน: เหมาะกับนักเก็งกำไรระยะยาว สามารถดูทิศทางแนวโน้มภาพรวมได้ดี 
  • RSI รายชั่วโมง: เหมาะกับนักเก็งกำไรระยะสั้น สามารถเห็นแนวโน้ม Overbought และ Oversold ได้ไว

• RSI ต่างจาก MACD อย่างไร?

RSI และ MACD (Moving Average Convergence Divergence) เป็นดัชนีชี้วัดที่มีความแตกต่าง โดย RSI ใช้วัดความเร็วและการเปลี่ยนแปลงของราคา มีค่าที่ชัดเจนอยู่ระหว่าง 0-100 ส่วน MACD ใช้วัดทิศทางแนวโน้มของราคา และ Momentum เพื่อจับเทรนด์และจังหวะซื้อขาย ซึ่งไม่มีค่าขอบเขตที่แน่นอน อย่างไรก็ตาม ทั้งสองอินดิเคเตอร์สามารถใช้ร่วมกันเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการซื้อขาย

Conclusion 

RSI คือ หนึ่งในอินดิเคเตอร์ที่สำคัญในการวิเคราะห์ตลาด เหมาะทั้งสำหรับนักลงทุนมือใหม่และเทรดเดอร์มือโปร RSI ไม่ได้บอกว่าเวลาไหนที่ควรซื้อ แต่เป็นการช่วยให้นักเทรดมองเห็นโอกาสการซื้อขายได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น แม้ RSI จะให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการลงทุนมาก แต่ควรใช้ควบคู่กับเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อให้การวิเคราะห์แม่นยำ กรองสัญญาณหลอก และเสริมความมั่นใจก่อนตัดสินใจลงทุน

คำเตือน

*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด

อ้างอิง

• investopedia.com
• bitpanda.com
• efinancethai.com