Share this
การลงทุนมีอะไรบ้าง? รวมประเภทการลงทุนยอดนิยมที่มือใหม่ควรรู้

สำหรับนักลงทุนมือใหม่แล้ว โลกของการลงทุนนั้นอาจดูน่าตื่นตาตื่นใจและน่าสับสนในเวลาเดียวกัน "การลงทุนมีอะไรบ้าง?" เป็นคำถามแรก ๆ ที่เราทุกคนเคยสงสัย บทความนี้จะพาไปสำรวจการลงทุนประเภทต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยม ตั้งแต่สินทรัพย์แบบดั้งเดิมไปจนถึงโลกที่น่าจับตามองของคริปโตเคอร์เรนซี เพื่อให้คุณได้ค้นพบแนวทางที่เหมาะสมกับเป้าหมายและสไตล์ของตัวเองมากที่สุด
การลงทุนคืออะไร?
การลงทุน คือ การนำเงินหรือสินทรัพย์ที่เรามีอยู่ในปัจจุบันไปต่อยอดเพื่อคาดหวังผลตอบแทนในอนาคต ซึ่งผลตอบแทนนั้นควรจะเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้ เพื่อรักษาและเพิ่มพูนมูลค่าของเงินที่เราหามาได้อย่างเหนื่อยยาก พูดง่าย ๆ คือ "การใช้เงินทำงาน" แทนที่เราจะทำงานเพื่อหาเงินเพียงอย่างเดียว การลงทุนจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งและบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน, การศึกษาบุตร, หรือการเกษียณอย่างมีความสุข

ประเภทของการลงทุน
เราสามารถแบ่งประเภทการลงทุนออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ การลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน และการลงทุนในสินทรัพย์จริง
1. การลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน (Financial Assets)
เป็นการลงทุนในตราสารที่ไม่มีตัวตนจับต้องได้ แต่มีมูลค่าตามที่ตกลงกันในสัญญา
- เงินฝากประจำ / พันธบัตรรัฐบาล: ถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด เงินฝากประจำคือการฝากเงินกับธนาคารโดยมีกำหนดระยะเวลาและได้รับดอกเบี้ยตามที่ตกลง ส่วนพันธบัตรรัฐบาล คือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลเพื่อระดมทุน โดยรัฐบาลจะเป็นผู้ค้ำประกันเงินต้นและจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ถือ เหมาะกับผู้เริ่มต้นลงทุน หรือไม่ต้องการเสี่ยง หรือต้องการพักเงินที่ปลอดภัย
- หุ้น (Stocks): คือการเข้าซื้อ "ส่วนหนึ่ง" ของความเป็นเจ้าของในบริษัทต่าง ๆ ผ่านตลาดหลักทรัพย์ เมื่อบริษัทเติบโตและมีกำไร มูลค่าหุ้นที่เราถืออยู่ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ เรายังมีโอกาสได้รับ "เงินปันผล" อีกด้วย เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง และมีเวลาศึกษาข้อมูลบริษัทและติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ
- กองทุนรวม (Mutual Funds): สำหรับคนที่ไม่สะดวกเลือกหุ้นรายตัว กองทุนรวมคือคำตอบ เพราะเป็นการรวบรวมเงินจากนักลงทุนหลาย ๆ คน ไปให้ "ผู้จัดการกองทุน" ที่มีความเชี่ยวชาญนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ตามนโยบายที่กำหนดไว้ เช่น กองทุนรวมหุ้น, กองทุนรวมตราสารหนี้ ทำให้เกิดการกระจายความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น, ผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด, และต้องการกระจายความเสี่ยง
- คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency): สินทรัพย์ดิจิทัลที่ทำงานบนเทคโนโลยีบล็อกเชน มีความโดดเด่นในเรื่องของความกระจายศูนย์ (Decentralization) ไม่ถูกควบคุมโดยตัวกลางใด ๆ สกุลเงินที่รู้จักกันดี เช่น Bitcoin (BTC) และ Ethereum (ETH) การลงทุนในคริปโตฯ สามารถทำได้ทั้งการซื้อขายเก็งกำไรระยะสั้นและการถือเพื่อลงทุนในคุณค่าของเทคโนโลยีในระยะยาว เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงมาก มีความเข้าใจในเทคโนโลยี และพร้อมที่จะศึกษาหาความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ
2. การลงทุนในสินทรัพย์จริง (Real Assets)
เป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ มีตัวตนอยู่จริง ได้แก่
- ทองคำ (Gold): สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่มูลค่ามักจะสวนทางกับตลาดหุ้น ในยามที่เศรษฐกิจผันผวน นักลงทุนมักจะหันมาถือครองทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ เหมาะกับนักลงทุนทุกระดับเพื่อการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
- อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate): การลงทุนในที่ดิน, บ้าน, คอนโดมิเนียม สามารถสร้างผลตอบแทนได้จาก 2 ทางหลัก คือ รายได้จากค่าเช่า (Passive Income) และกำไรจากการขายเมื่อมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต (Capital Gain) เหมาะสำหรับผู้ที่มีเงินลงทุนก้อนใหญ่และมองหาการลงทุนในระยะยาว
- ของสะสมหรืองานศิลป์ (Collectibles/Art): เป็นการลงทุนที่ขับเคลื่อนด้วยความหลงใหล เช่น นาฬิกาหรู, รถคลาสสิก, ไวน์, หรือภาพวาดจากศิลปินชื่อดัง ซึ่งมูลค่าจะเพิ่มขึ้นตามความหายากและความต้องการของตลาด ซึ่งผู้ที่จะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ต้องมีความรู้ความเข้าใจในของสิ่งนั้น ๆ เป็นอย่างดีและมองว่าเป็นการลงทุนทางเลือก
การเลือกสินทรัพย์ลงทุนที่เหมาะสม เปรียบเสมือนการเลือกเครื่องมือให้ถูกกับงาน ก่อนตัดสินใจลงทุน เราควรทำความเข้าใจลักษณะ ข้อดี และข้อจำกัดของสินทรัพย์แต่ละอย่างให้ถ่องแท้เสียก่อน

ข้อดีและข้อเสียของการลงทุนแต่ละแบบ
1. เงินฝากประจำ / พันธบัตรรัฐบาล (ความเสี่ยงต่ำที่สุด)
สินทรัพย์กลุ่มนี้เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับนักลงทุนมือใหม่
ข้อดี:
- ความปลอดภัยสูง: เงินต้นของคุณแทบไม่มีความเสี่ยงที่จะหายไปไหน เนื่องจากมีธนาคารหรือรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน
- สร้างวินัยในการออม: การฝากประจำมีเงื่อนไขเรื่องระยะเวลาที่ชัดเจน ช่วยสร้างวินัยทางการเงินได้เป็นอย่างดี
- ผลตอบแทนแน่นอน: คุณจะทราบอัตราดอกเบี้ยที่จะได้รับล่วงหน้า ทำให้คาดการณ์ผลตอบแทนได้ง่าย
- สภาพคล่อง (สำหรับเงินฝาก): แม้จะมีกำหนดเวลา แต่หากเกิดเหตุฉุกเฉินก็ยังสามารถถอนออกมาก่อนได้ (แต่อาจไม่ได้รับดอกเบี้ยตามที่ตกลงไว้)
ข้อเสีย:
- ผลตอบแทนต่ำ: เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ชัดเจนกับความเสี่ยงที่ต่ำ ซึ่งในหลายครั้งผลตอบแทนที่ได้อาจจะแพ้อัตราเงินเฟ้อ ทำให้มูลค่าเงินที่แท้จริงของคุณลดลง
- เสียโอกาสในการลงทุน: การนำเงินมาพักไว้ในสินทรัพย์กลุ่มนี้ อาจทำให้คุณพลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าจากสินทรัพย์อื่น ๆ
- มีภาระผูกพันด้านเวลา (สำหรับฝากประจำ): หากถอนเงินก่อนครบกำหนด อาจไม่ได้รับดอกเบี้ยหรือได้รับในอัตราที่ต่ำกว่ามาก
- ภาษี: ดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินฝากประจำส่วนใหญ่จะต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15%
2. หุ้น (Stocks)
การลงทุนในหุ้นคือการเข้าเป็น "ส่วนหนึ่ง" ของเจ้าของกิจการ มีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับบริษัท
ข้อดี:
- โอกาสสร้างผลตอบแทนสูง: เป็นสินทรัพย์ที่ให้โอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงที่สุดในระยะยาว ทั้งจากกำไรของราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น (Capital Gain) และเงินปันผล (Dividend)
- สภาพคล่องสูง: สามารถซื้อขายเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายและรวดเร็วในวันทำการ ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ
- ความโปร่งใส: บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องเปิดเผยข้อมูลผลประกอบการและข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ต่อสาธารณะ ทำให้นักลงทุนสามารถติดตามและวิเคราะห์ได้
ข้อเสีย:
- ความเสี่ยงและความผันผวนสูง: ราคาหุ้นสามารถเปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้อย่างรวดเร็วตามสภาวะเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม หรือข่าวสารของบริษัทนั้น ๆ ซึ่งอาจทำให้ขาดทุนเงินต้นได้
- ต้องใช้ความรู้และเวลา: การลงทุนในหุ้นให้ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องอาศัยการศึกษาข้อมูล วิเคราะห์งบการเงิน และติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ
- ความเสี่ยงด้านการบริหาร: หากผู้บริหารของบริษัทตัดสินใจผิดพลาด ก็อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาหุ้นได้
3. กองทุนรวม (Mutual Funds)
เป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์อื่น ๆ แต่ไม่มีเวลา หรือต้องการกระจายความเสี่ยง
ข้อดี:
- มีผู้เชี่ยวชาญดูแล: มีผู้จัดการกองทุนที่มีความรู้และประสบการณ์คอยวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนแทนเรา
- กระจายความเสี่ยงอัตโนมัติ: เงินลงทุนของเราจะถูกกระจายไปในสินทรัพย์หลาย ๆ ตัว เช่น หุ้น 30-50 บริษัท ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง
- ใช้เงินลงทุนน้อย: สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ด้วยเงินจำนวนไม่มาก บางกองทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาท
- มีนโยบายหลากหลาย: มีกองทุนรวมให้เลือกมากมายตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ตั้งแต่เสี่ยงต่ำ (กองทุนตลาดเงิน) ไปจนถึงเสี่ยงสูง (กองทุนหุ้นต่างประเทศ, กองทุนทองคำ)
ข้อเสีย:
- มีค่าธรรมเนียม: การมีผู้เชี่ยวชาญมาดูแลย่อมมีค่าใช้จ่าย ซึ่งจะถูกหักออกจากมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน เช่น ค่าธรรมเนียมการจัดการ ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย
- ไม่สามารถควบคุมการลงทุนได้เอง: เราไม่สามารถเลือกซื้อหรือขายหุ้นรายตัวในกองทุนได้ด้วยตัวเอง ต้องเป็นไปตามการตัดสินใจของผู้จัดการกองทุน
- ผลตอบแทนอาจไม่โดดเด่น: เนื่องจากการกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นจำนวนมาก แม้จะมีหุ้นบางตัวที่ราคาขึ้นไปสูง แต่ก็จะถูกถัวเฉลี่ยกับหุ้นตัวอื่น ๆ ทำให้ผลตอบแทนโดยรวมอาจไม่สูงเท่ากับการเลือกหุ้นรายตัวได้ถูกต้อง
4. คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency)
สินทรัพย์ดิจิทัลที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีแห่งอนาคต แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่สุดเช่นกัน
ข้อดี:
- โอกาสสร้างผลตอบแทนสูงมาก: เป็นสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้หลายร้อยหรือหลายพันเปอร์เซ็นต์ในระยะเวลาอันสั้น
- ระบบกระจายศูนย์ (Decentralized): ไม่ถูกควบคุมโดยตัวกลางอย่างธนาคารหรือรัฐบาล ทำให้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน
- ไม่มีพรมแดน: สามารถทำธุรกรรมซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน และโอนหากันได้ทั่วโลกอย่างรวดเร็ว
ข้อเสีย:
- ความเสี่ยงและความผันผวนสูงที่สุด: ราคาอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงได้ภายในวันเดียว มีโอกาสสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้
- ไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับที่ชัดเจน: การประเมินมูลค่าส่วนใหญ่มาจากความเชื่อมั่นและอุปสงค์-อุปทานในตลาด ซึ่งต่างจากหุ้นที่มีผลประกอบการของบริษัทรองรับ
- ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: กฎหมายและข้อบังคับในหลายประเทศยังไม่ชัดเจนและอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
- ความเสี่ยงทางเทคโนโลยี: มีความเสี่ยงจากการถูกแฮก การหลอกลวง (Scam) หรือหากทำ Private Key (กุญแจส่วนตัว) หาย อาจไม่สามารถกู้คืนสินทรัพย์ได้เลย
5. ทองคำ (Gold)
สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่ได้รับความเชื่อมั่นมาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์
ข้อดี:
- ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ: โดยธรรมชาติแล้ว เมื่อค่าเงินลดลง ราคาทองคำมักจะปรับตัวสูงขึ้น
- เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย: ในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือความไม่แน่นอนทางการเมือง นักลงทุนมักจะย้ายเงินมาพักไว้ในทองคำ ทำให้ราคามีแนวโน้มสูงขึ้น
- เป็นที่ยอมรับทั่วโลก: ทองคำมีสภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทั่วโลก
ข้อเสีย:
- ไม่สร้างกระแสเงินสด: การถือทองคำจะไม่มีเงินปันผลหรือดอกเบี้ยเหมือนหุ้นหรือพันธบัตร ผลตอบแทนจะมาจากส่วนต่างราคาเพียงอย่างเดียว
- มีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา: หากซื้อเป็นทองคำแท่ง จะมีภาระและความเสี่ยงในการเก็บรักษาให้ปลอดภัย
- ราคาผันผวนตามอุปสงค์และค่าเงินดอลลาร์: ราคาทองคำมีความสัมพันธ์กับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก
6. อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate)
การลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น ที่ดิน บ้าน คอนโดมิเนียม
ข้อดี:
- สร้างรายได้ประจำ (Passive Income): สามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอในรูปแบบของค่าเช่า
- มูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว: โดยทั่วไปแล้ว ราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นตามกาลเวลา
- เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้: สามารถนำไปใช้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินได้
ข้อเสีย:
- ใช้เงินลงทุนสูง: เป็นการลงทุนที่ต้องใช้เงินทุนก้อนใหญ่ในการเริ่มต้น
- สภาพคล่องต่ำมาก: การซื้อขายเปลี่ยนมือทำได้ช้า ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็วเหมือนหุ้น
- มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา: มีค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง เช่น ค่าส่วนกลาง ค่าซ่อมแซม และภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
- ต้องอาศัยความรู้เฉพาะทาง: การเลือกทำเล การประเมินราคา และการบริหารจัดการผู้เช่า ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์
7. ของสะสมหรืองานศิลป์ (Collectibles/Art)
การลงทุนที่ขับเคลื่อนด้วยความหลงใหลและความชื่นชอบส่วนตัว
ข้อดี:
- ผลตอบแทนสูงเกินคาด: หากของชิ้นนั้นเป็นที่ต้องการของตลาดและหาได้ยาก มูลค่าสามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างมหาศาล
- ให้คุณค่าทางใจ: นอกจากการลงทุนแล้ว ยังเป็นการสร้างความสุขและความภาคภูมิใจให้กับผู้ที่เป็นเจ้าของ
- เป็นสินทรัพย์ทางเลือกเพื่อกระจายความเสี่ยง: ราคาของสินทรัพย์กลุ่มนี้มักไม่ค่อยสัมพันธ์กับตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจโดยรวม
ข้อเสีย:
- สภาพคล่องต่ำที่สุด: เป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม การหาผู้ซื้อที่ยินดีจ่ายในราคาที่เราต้องการอาจต้องใช้เวลานานมาก
- ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางอย่างสูง: มีความเสี่ยงสูงที่จะเจอของปลอมหรือประเมินมูลค่าผิดพลาด หากไม่มีความเชี่ยวชาญจริง ๆ
- ไม่สร้างกระแสเงินสด: เหมือนกับทองคำ การลงทุนประเภทนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ระหว่างที่ถือครอง
- ต้นทุนการทำธุรกรรมสูง: อาจมีค่าใช้จ่ายในการประเมินราคา ค่าประกัน และค่าคอมมิชชันในการซื้อขายผ่านสถาบันประมูล
ปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนเลือกลงทุนในแต่ละสินทรัพย์
- เป้าหมายการลงทุน (Investment Goal): ลงทุนเพื่ออะไร? เช่น เพื่อเกษียณ, ซื้อบ้าน, ท่องเที่ยว เป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยกำหนดระยะเวลาและประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสม
- ระยะเวลาในการลงทุน (Time Horizon): สามารถลงทุนทิ้งไว้ได้นานแค่ไหน? การลงทุนระยะยาว (5-10 ปีขึ้นไป) สามารถรับความเสี่ยงได้สูงกว่าการลงทุนระยะสั้น
- ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Tolerance): รับความผันผวนของเงินลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน? หากขาดทุน 20% คุณจะนอนไม่หลับหรือไม่?
- ความรู้ความเข้าใจ (Knowledge): อย่าลงทุนในสิ่งที่ไม่เข้าใจ ควรใช้เวลาศึกษาหาข้อมูลในสินทรัพย์ที่จะลงทุนให้ดีเสียก่อน

แนวโน้มการลงทุนในอนาคต
ในปี 2025 และต่อไป แนวโน้มการลงทุนจะมุ่งเน้นไปที่
- สินทรัพย์ยั่งยืน (Sustainable Investing - ESG): การลงทุนในบริษัทที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม (Environmental), สังคม (Social), และธรรมาภิบาล (Governance) กำลังได้รับความนิยมและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
- เทคโนโลยีและนวัตกรรม: การลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี, AI, และเทคโนโลยีบล็อกเชนยังคงน่าสนใจ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอนาคต
- สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets): นอกเหนือจากคริปโตเคอร์เรนซีแล้ว การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลรูปแบบอื่น ๆ เช่น Real World Asset (RWA) Tokenization หรือการแปลงสินทรัพย์จริงให้อยู่ในรูปแบบโทเคนดิจิทัล จะเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทำให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงอย่างอสังหาริมทรัพย์หรืองานศิลปะได้ง่ายขึ้น
- การกระจายความเสี่ยงทั่วโลก (Global Diversification): ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาค ทำให้นักลงทุนมองหาโอกาสการลงทุนในตลาดต่างประเทศมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง
References:
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th)
- สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (www.sec.or.th)
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (www.bot.or.th)
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการลงทุน (FAQ)
-
การลงทุนมีอะไรบ้างสำหรับมือใหม่
สำหรับมือใหม่ แนะนำให้เริ่มต้นจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้, กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ที่กระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลายตัว หรืออาจจะเริ่มจาก การออมหุ้น (DCA) ในหุ้นพื้นฐานดี ซึ่งเป็นการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยด้วยจำนวนเงินเท่า ๆ กันทุกเดือนเพื่อสร้างวินัยและลดความเสี่ยงจากความผันผวน
-
ลงทุนอะไรดีในปี 2025
ในปี 2025 สินทรัพย์ที่น่าสนใจยังคงเป็นการลงทุนที่เน้นการเติบโตในระยะยาว เช่น หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและสุขภาพ, กองทุนรวมที่ลงทุนในตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพ (เช่น เวียดนาม, อินเดีย) และการแบ่งส่วนเล็ก ๆ ของพอร์ต (ไม่เกิน 5-10%) มาลงทุนใน คริปโตเคอร์เรนซี เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น
-
การลงทุนที่ความเสี่ยงต่ำที่สุดคืออะไร
พันธบัตรรัฐบาล และ เงินฝากประจำ ถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด เนื่องจากมีรัฐบาลหรือสถาบันการเงินค้ำประกันเงินต้น แต่ก็ต้องแลกมากับผลตอบแทนที่ค่อนข้างต่ำ
-
คริปโตนับเป็นการลงทุนไหม?
คริปโตเคอร์เรนซีนับเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนประเภทหนึ่ง (Alternative Investment) แต่เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงมากเนื่องจากความผันผวนของราคา ผู้ลงทุนต้องมีความรู้ความเข้าใจและยอมรับความเสี่ยงได้สูง ไม่ควรนำเงินทั้งหมดมาลงทุนในคริปโตฯ แต่ควรมองเป็นการกระจายความเสี่ยงส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุน
Conclusion
การลงทุนไม่ใช่เรื่องของ "คนรวย" แต่เป็นเรื่องของ "ทุกคน" ที่ต้องการสร้างอนาคตทางการเงินที่มั่นคง ไม่มีคำตอบตายตัวว่าการลงทุนแบบไหนดีที่สุด เพราะแต่ละคนมีเป้าหมาย, ระยะเวลา, และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้แตกต่างกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือการเริ่มต้นศึกษา, ทำความเข้าใจ, และเลือกสินทรัพย์ที่ "ใช่" สำหรับเรา จงเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าจะด้วยเงินจำนวนน้อยแค่ไหนก็ตาม เพราะพลังของผลตอบแทนทบต้นจะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อเราให้ "เวลา" กับมัน
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด
อ้างอิง
Share this
Subscribe by email

การลงทุนมีอะไรบ้าง? รวมประเภทการลงทุนยอดนิยมที่มือใหม่ควรรู้

Gold Coin คืออะไร? เหรียญคริปโตที่มีทองคำหนุนหลังจริงหรือ?

Fibonacci คืออะไร? วิธีใช้กับการเทรดอย่างง่าย พร้อมตัวอย่างจริง

พบกับ Aster (ASTER) โทเคนใหม่จากกระดานเทรด Perpetual เปิดตัวแรงในโลกคริปโต

เปิดตัว Stablecoin เงินหยวนจีนและเงินวอนเกาหลี

รู้จัก ‘ไมเคิล เจ. เซย์เลอร์’ มหาเศรษฐีนักลงทุน Bitcoin ผู้ทุ่มสุดตัว

Play to Earn คืออะไร? เกมเล่นแล้วได้เงินจริง มีอะไรน่าจับตาในปีนี้

MACD คืออะไร? สอนใช้เครื่องมือตัวนี้วิเคราะห์กราฟเทรดอย่างมือโปร

Cloud Mining คืออะไร? ทำงานอย่างไร และคุ้มค่าหรือไม่ในปี 2025
