Yield คือ ผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างหนึ่ง ซึ่งครอบคลุมและมีลักษณะแตกต่างกันไปตามประเภทของการลงทุน Yield ในโลกคริปโตถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการสร้างรายได้แบบ Passive ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะไม่จำเป็นต้องเทรดหรือขายเหรียญก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะผ่านการทำ Staking, Lending หรือ Yield Farming
อย่างไรก็ตาม รูปแบบของ Yield ในแต่ละแพลตฟอร์มก็มีความเสี่ยงและเงื่อนไขที่ต่างกันไป บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่า Yield คืออะไร ทำงานอย่างไร และต้องรู้จักอะไรบ้างก่อนจะเริ่มสร้างผลตอบแทนจากคริปโต
Yield คือ ผลตอบแทนจากการลงทุนที่แสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ หากว่ากันในมุมการลงทุนหุ้น Yield มักหมายถึงเงินปันผลรายปีที่บริษัทจ่ายคืนให้ผู้ถือหุ้น ส่วนวงการพันธบัตร Yield คือดอกเบี้ยที่นักลงทุนได้รับตอบแทนจากการถือครอง ในณะที่กองทุนรวม Yield หมายถึงรายได้สุทธิที่กองทุนสร้างได้ตลอดช่วงเวลาหนึ่ง
แน่นอนว่า Yield ในโลกของคริปโตนั้น หรือที่รู้จักกันในชื่อ Yield Farming ก็คือ ผลตอบแทนจากคริปโต นับเป็นแนวทางใหม่ในการสร้างรายได้แบบ Passive จากสินทรัพย์ดิจิทัล แม้จะเป็นแนวคิดที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน แต่ก็ได้รับความสนใจอย่างมากในแวดวงคริปโต
โดยทั่วไปแล้ว Yield ในการลงทุนต่าง ๆ มีลักษณะแตกต่างกันไป ดังนี้
Nominal Yield = (ดอกเบี้ยรายปี / มูลค่าหน้าตั๋วของพันธบัตร)
ยกตัวอย่าง พันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 1,000 บาท ที่จ่ายดอกเบี้ยปีละ 5% จะมี Yield เท่ากับ 50 ÷ 1,000 = 5%
แต่ถ้าเป็นพันธบัตรดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate Bond) ผลตอบแทนจะเปลี่ยนตามอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในแต่ละช่วงเวลา เช่น ถ้าดอกเบี้ยอ้างอิง (10-Year Treasury) อยู่ที่ 1% และเพิ่มเป็น 2% อัตราดอกเบี้ยรวมก็จะขยับจาก 3% เป็น 4%
ส่วนพันธบัตรแบบดัชนี (Index-Linked Bond) จะปรับดอกเบี้ยตามค่าของดัชนี เช่น CPI หากเงินเฟ้อเพิ่ม ดอกเบี้ยที่ได้ก็จะเพิ่มตามไปด้วย
โดย Earnings Yield เป็นอัตราส่วนผกผันของค่า P/E (Price-to-Earnings) ซึ่งคำนวณได้จากสูตร Earnings ÷ Price (E/P) ตัวชี้วัดนี้นิยมใช้เพื่อประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น และบ่งชี้ว่าอัตราผลตอบแทนของหุ้นนั้นอยู่ในระดับใด
ตามที่กล่าวไปข้างต้น Yield ในโลกคริปโต หรือ Yield Farming คือ ผลตอบแทนจากคริปโต ซึ่งมาจากการนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปใช้สร้างรายได้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ดอกเบี้ย ผลตอบแทนจากการ Staking หรือกำไรจากส่วนต่างราคา ลักษณะคล้ายกับฝากเงินกินดอกเบี้ย แต่เป็นการฝากเงินกินดอกเบี้ยในโลกคริปโต
ทั้งนี้ ผู้ใช้งานจะนำเหรียญหรือโทเคนไปฝากไว้ใน dApps เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมอย่างการเทรด ปล่อยกู้ หรือยืมเงิน และกลายเป็นผู้ให้สภาพคล่องในระบบ
เมื่อการทำ Yield Farming ถือการสร้างรายได้แบบ Passive ถึงอย่างนั้น การทำ Yield ในโลกคริปโตก็มีวิธีการเฉพาะที่แตกต่างไปจากการลงทุนสินทรัพย์อื่น โดยการสร้าง Yield จากคริปโตทำได้ ดังนี้
ปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนของ Yield ในโลกคริปโต มีดังนี้
ผู้สนใจเลือกเหรียญเพื่อลงทุนทำ Yield ในโลกคริปโต ควรพิจารณาปัจจัยหลายอย่าง เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและลดความเสี่ยงที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยสสามารถพิจารณาวิธีต่อไป
แม้ว่าการทำ Yield ในโลกคริปโตจะมีหลากหลายวิธี แต่วิธีเหล่านั้นต่างก็มีข้อจำกัดและความเสี่ยงที่นักลงทุนควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ Yield ด้วยิวธีใดวิธีหนึ่ง
โดยทั่วไปแล้ว Yield ในโลกของการลงทุนทั่วไป ว่าด้วยผลตอบแทนจากการลงทุนนั้น ๆ เช่น ดอกเบี้ยพันธบัตร เงินปันผลจากหุ้น ผลตอบแทนจากกองทุน เป็นต้น Yield ประเภทนี้มีลักษณะคงที่หรือผันผวนน้อย มักอยู่ในกรอบที่ประเมินได้ และอยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานทางการเงิน
ในขณะเดียวกัน Yield ในโลกคริปโตนั้นคือผลตอบแทนจากสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น Staking, Lending, Yield Farming เป็นต้น แน่นอนว่ามีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงกว่า แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงมากกว่า ทั้งในแง่ความผันผวนของราคา ความปลอดภัยของแพลตฟอร์ม และความไม่ชัดเจนด้านกฎหมาย
Yield คือผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนในรูปแบบของรายได้ โดยคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อปีจากต้นทุนการลงทุน และมักใช้เพื่อประเมินรายได้ที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต ส่วน ROI (Return on Investment) คือผลตอบแทนรวมจากการลงทุน ซึ่งรวมถึงรายได้ทั้งหมดและการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สิน โดยคำนวณจากกำไรสุทธิที่ได้รับเทียบกับต้นทุนการลงทุน และมักใช้เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการลงทุนในอดีต
เริ่มต้นด้วยการเลือกแพลตฟอร์ม DeFi ที่น่าเชื่อถือ เช่น Uniswap, Aave หรือ PancakeSwap จากนั้นเชื่อมต่อกระเป๋าคริปโตกับแพลตฟอร์มที่เลือก แล้วจึงฝากเหรียญลงใน Pool หรือทำ Staking เพื่อเริ่มรับผลตอบแทน ซึ่งอาจมาในรูปแบบของดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม หรือโทเคนรางวัล
ปัจจุบันประเทศไทยกำหนดให้ รายได้จากการลงทุนในคริปโตถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เช่น ดอกเบี้ยจากการทำ Staking หรือ Yield Farming เป็นต้น อัตราภาษีขึ้นอยู่กับรายได้รวมของคุณนอกจากนี้ ยังมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% สำหรับรายได้บางประเภท เช่น ดอกเบี้ยหรือเงินปันผลจากโทเคนดิจิทัล
แม้ Yield จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยให้สินทรัพย์ดิจิทัลทำงานแทนผู็ถือครองสินทรัพย์นั้นได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าผลตอบแทนที่สูงมักมาพร้อมความเสี่ยงเสมอ โดยเฉพาะความผันผวนของตลาดคริปโตและช่องโหว่ของ Smart Contract นักลงทุนจึงควรศึกษารูปแบบของ Yield ให้รอบด้าน เลือกเหรียญที่เหมาะกับเป้าหมายของตัวเอง และติดตามความเคลื่อนไหวของโปรเจกต์หรือแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ เพื่อให้ Yield ที่ได้ไม่กลายเป็นความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นในอนาคต
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด
อ้างอิง