Share this
โปรโตคอล คืออะไร? เปิดโลกโครงสร้างพื้นฐานที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยีดิจิทัล

ปัจจุบันเทคโนโลยีและการสื่อสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์มีบทบาทสำคัญมากในชีวิตประจำวัน ซึ่งการสื่อสารระหว่างระบบคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องมีความถูกต้อง ความแม่นยำ และน่าเชื่อถือ โดยการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์เหล่านี้มีตัวช่วยที่เรียกว่า โปรโตคอล เป็นภาษาที่ใช้สื่อสารระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ทำให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้
โปรโตคอล คืออะไร?
โปรโตคอลหรือ Protocol คือ มาตรฐานหรือกฎเกณฑ์ที่ใช้กำหนดวิธีการทำงานในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์หรือระบบต่าง ๆ เปรียบเสมือนภาษากลางที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ การที่คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะติดต่อสื่อสารกันได้ต้องมีโปรโตคอล เพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารกันเข้าใจ ทั้งเรื่องของการรับส่งข้อมูล วิธีการตรวจสอบข้อมูล ข้อผิดพลาดต่าง ๆ การแสดงผลของข้อมูล โปรโตคอลจึงมีความสำคัญมากสำหรับการสื่อสารของเครือข่าย หากไม่มีโปรโตคอลแล้วคอมพิวเตอร์ก็จะไม่สามารถสื่อสารกันได้
โปรโตคอลทำงานอย่างไร
วิธีการทำงานของโปรโตคอล มีวิธีการและขั้นตอน ดังนี้
- การกำหนดรูปแบบข้อมูล: โปรโตคอลจะกำหนดรูปแบบของข้อมูลที่สามารถส่งผ่านได้ เช่น ข้อมูลในรูปแบบข้อความ (Text) หรือข้อมูลในรูปแบบไบนารี (Binary) โดยมีการระบุว่าแต่ละส่วนของข้อมูลควรมีลักษณะอย่างไร
- การตรวจสอบข้อผิดพลาด: โปรโตคอลมักมีการตรวจสอบข้อผิดพลาด (Error Checking) เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ส่งมาไม่ผิดพลาดหรือสูญหาย เช่น การใช้ Checksum หรือ CRC (Cyclic Redundancy Check) เพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูล
- การควบคุมการไหลของข้อมูล: โปรโตคอลบางตัวจะมีการควบคุมการส่งข้อมูลในลักษณะ "การไหลของข้อมูล" (Flow Control) เพื่อไม่ให้ข้อมูลถูกส่งมามากเกินไปในเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจทำให้ระบบหรือเครือข่ายเกิดการหน่วงหรือสูญหาย
- การกำหนดวิธีการเริ่มต้นและยุติการเชื่อมต่อ: โปรโตคอลจะกำหนดขั้นตอนในการเชื่อมต่อและตัดการเชื่อมต่อ เช่น ในโปรโตคอล TCP/IP การเริ่มต้นเชื่อมต่อจะใช้กระบวนการ Three-Way Handshake เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ทั้งสองฝ่ายสามารถรับข้อมูลได้
- การรักษาความปลอดภัย: บางโปรโตคอลยังมีการเข้ารหัสข้อมูลหรือการพิสูจน์ตัวตน เพื่อให้ข้อมูลที่ส่งไปถึงไม่ถูกดักจับหรือถูกแก้ไขโดยบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต
โปรโตคอลจะทำงานโดยการกำหนดวิธีการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์หรือระบบต่าง ๆ โดยให้ความสำคัญกับการส่งข้อมูลอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพตามกฎที่กำหนดไว้

ประเภทของโปรโตคอล
โปรโตคอลสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทซึ่งแต่ละประเภทมีการใช้งานและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันโดยสามารถแบ่งได้เป็นประเภทหลัก ๆ ดังนี้
-
โปรโตคอลเครือข่าย (Network Protocols)
โปรโตคอลเครือข่ายคือชุดของกฎหรือข้อกำหนดที่ใช้ในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น คอมพิวเตอร์, เซิร์ฟเวอร์, เราเตอร์, สวิตช์ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่เชื่อมต่อในเครือข่าย โปรโตคอลเหล่านี้ทำให้การส่งข้อมูลจากอุปกรณ์หนึ่งไปยังอุปกรณ์อื่นสามารถทำได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ โดยการกำหนดขั้นตอนต่าง ๆ ที่จำเป็นในการจัดการข้อมูลตั้งแต่การส่งข้อมูลจนถึงการรับข้อมูลโปรโตคอลที่ใช้ในการจัดการการสื่อสารและการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในเครือข่าย ได้แก่
-
- Ethernet: ใช้ในเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ในระยะใกล้ โดยใช้สายเคเบิลเพื่อส่งข้อมูล
- IP (Internet Protocol): ใช้ในการกำหนดที่อยู่และเส้นทางในการส่งข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยแบ่งเป็น IPv4 และ IPv6
- ARP (Address Resolution Protocol): ใช้ในการแปลงที่อยู่ IP เป็นที่อยู่ MAC ในเครือข่ายท้องถิ่น (LAN)
- ICMP (Internet Control Message Protocol): ใช้ในการตรวจสอบการเชื่อมต่อและส่งข้อความควบคุม เช่น การส่งคำขอ Ping เพื่อตรวจสอบสถานะการเชื่อมต่อ
- DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol): ใช้ในการมอบหมายที่อยู่ IP ให้กับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเครือข่ายอัตโนมัติ
-
โปรโตคอลอินเทอร์เน็ต (Internet Protocols)
โปรโตคอลอินเทอร์เน็ตคือ ชุดของกฎและข้อกำหนดที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โปรโตคอลเหล่านี้ทำให้ข้อมูลสามารถเดินทางจากแหล่งหนึ่งไปยังปลายทางได้อย่างถูกต้อง และช่วยในการระบุที่อยู่ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อในอินเทอร์เน็ต เช่น การส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง หรือจากเซิร์ฟเวอร์ไปยังผู้ใช้ โปรโตคอลอินเทอร์เน็ตมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละโปรโตคอลจะมีบทบาทที่สำคัญในการส่งข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ตัวอย่างเช่น
-
- HTTP (Hypertext Transfer Protocol): ใช้ในการส่งข้อมูลระหว่างเว็บเซิร์ฟเวอร์และเว็บเบราว์เซอร์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเรียกดูเว็บไซต์
- HTTPS (Hypertext Transfer Protocol Secure): เวอร์ชันที่ปลอดภัยของ HTTP โดยใช้การเข้ารหัส SSL/TLS เพื่อปกป้องข้อมูลที่ส่งระหว่างเว็บเบราว์เซอร์และเว็บเซิร์ฟเวอร์
- FTP (File Transfer Protocol): ใช้ในการถ่ายโอนไฟล์ระหว่างคอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์
- SMTP (Simple Mail Transfer Protocol): ใช้ในการส่งอีเมลจากเครื่องหนึ่งไปยังเครื่องอื่น
- POP3 (Post Office Protocol 3) และ IMAP (Internet Message Access Protocol): ใช้ในการดึงอีเมลจากเซิร์ฟเวอร์ไปยังเครื่องของผู้ใช้
- DNS (Domain Name System): ใช้ในการแปลงชื่อโดเมน (เช่น www.example.com) เป็นที่อยู่ IP ของเซิร์ฟเวอร์
-
โปรโตคอลการสื่อสารไร้สาย (Wireless Protocols)
โปรโตคอลการสื่อสารไร้สาย (Wireless Protocols) คือ ชุดของกฎและมาตรฐานที่กำหนดวิธีการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านการเชื่อมต่อแบบไร้สาย โดยไม่ต้องใช้สายเชื่อมต่อทางกายภาพ เช่น การใช้คลื่นวิทยุ หรือคลื่นไมโครเวฟในการส่งข้อมูล โปรโตคอลเหล่านี้ทำให้การสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ในเครือข่ายไร้สายสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
โปรโตคอลการสื่อสารไร้สายมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน เช่น การเชื่อมต่อภายในบ้าน, การเชื่อมต่อในองค์กร, หรือการใช้งานในระบบ IoT (Internet of Things)
-
- Wi-Fi (IEEE 802.11):ใช้ในการสื่อสารในเครือข่ายท้องถิ่นแบบไร้สาย (WLAN) โดยใช้คลื่นวิทยุในการส่งข้อมูล
- Bluetooth: ใช้ในการสื่อสารระยะใกล้ระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น สมาร์ทโฟน, หูฟัง, คีย์บอร์ด
- Zigbee: ใช้ในระบบ IoT (Internet of Things) เช่น สมาร์ทโฮม หรืออุปกรณ์ที่ใช้พลังงานต่ำ โดยมักใช้ในเครือข่ายที่มีอุปกรณ์หลายตัวเชื่อมต่อกัน
- NFC (Near Field Communication):ใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระยะใกล้ เช่น การจ่ายเงินผ่านสมาร์ทโฟนหรือบัตรเครดิตไร้สัมผัส
- LoRaWAN (Long Range Wide Area Network): ใช้ในการสื่อสารระยะไกลสำหรับ IoT ที่ต้องการการเชื่อมต่อในระยะทางไกลและประหยัดพลังงาน
-
โปรโตคอลด้านความปลอดภัย (Security Protocols)
โปรโตคอลด้านความปลอดภัย คือชุดของกฎและมาตรฐานที่ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องข้อมูลและการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ จากภัยคุกคามและการโจมตีในเครือข่าย โปรโตคอลเหล่านี้มีบทบาทในการเข้ารหัสข้อมูล การยืนยันตัวตน และการรักษาความปลอดภัยในระหว่างการส่งข้อมูล เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลจะไม่ถูกขโมย ดัดแปลง หรือเปิดเผยโดยไม่ได้รับอนุญาตโปรโตคอลที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องข้อมูลจากการถูกโจมตีและทำให้การสื่อสารมีความปลอดภัยมากขึ้น โปรโตคอลด้านความปลอดภัยช่วยสร้างความมั่นใจในการสื่อสารผ่านเครือข่าย เช่น การเข้ารหัสข้อมูลในระบบการชำระเงินออนไลน์, การรับรองความถูกต้องของผู้ใช้ในบริการออนไลน์, หรือการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในอีเมล
-
- SSL/TLS (Secure Sockets Layer / Transport Layer Security): ใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งระหว่างเว็บเบราว์เซอร์และเว็บเซิร์ฟเวอร์เพื่อให้ข้อมูลปลอดภัยจากการดักฟัง
- IPsec (Internet Protocol Security): ใช้ในการเข้ารหัสและยืนยันความถูกต้องของข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่าย IP
- SSH (Secure Shell): ใช้ในการเชื่อมต่อระยะไกลอย่างปลอดภัยเพื่อเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์หรือคอมพิวเตอร์ผ่านช่องทางคอมมานด์ไลน์
- VPN (Virtual Private Network):ใช้ในการสร้างเครือข่ายส่วนตัวเสมือนบนอินเทอร์เน็ต เพื่อให้การสื่อสารระหว่างเครื่องลูกข่ายและเซิร์ฟเวอร์ปลอดภัยจากการดักจับข้อมูล
- S/MIME (Secure/Multipurpose Internet Mail Extensions): ใช้ในการเข้ารหัสและลงลายมือชื่อดิจิทัลในการส่งอีเมลเพื่อความปลอดภัยในการสื่อสารทางอีเมล
- Kerberos:ใช้ในการพิสูจน์ตัวตน (Authentication) ในการเข้าถึงบริการที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น ระบบเครือข่ายองค์กร

ตัวอย่างการใช้งานโปรโตคอลในชีวิตประจำวัน
โปรโตคอลมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารและการทำงานของระบบต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน แม้ว่าหลายคนอาจจะไม่รู้สึกถึงการทำงานของโปรโตคอล แต่ทุกครั้งที่เราใช้งานอินเทอร์เน็ตหรือเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ จะมีโปรโตคอลเป็นส่วนสำคัญในการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น
-
การเข้าเว็บไซต์
เมื่อเปิดเว็บเบราว์เซอร์และพิมพ์ที่อยู่เว็บไซต์ โปรโตคอล HTTPS (Hypertext Transfer Protocol Secure) จะทำการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่เก็บข้อมูลของเว็บไซต์นั้นโปรโตคอล HTTPS ใช้การเข้ารหัสข้อมูลระหว่างเว็บเบราว์เซอร์และเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่สามารถดักจับหรือดัดแปลงข้อมูลที่ส่งระหว่างการเชื่อมต่อได้ เช่น ข้อมูลการเข้าสู่ระบบหรือข้อมูลการทำธุรกรรมออนไลน์
-
การส่งอีเมล
เมื่อส่งอีเมลจากแอปพลิเคชันอีเมล (เช่น Gmail, Outlook) โดยใช้ SMTP (Simple Mail Transfer Protocol) ข้อมูลอีเมลจะถูกส่งจากแอปพลิเคชันของไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการอีเมล เมื่อผู้รับเช็คอีเมลจากเซิร์ฟเวอร์อาจใช้โปรโตคอล IMAP (Internet Message Access Protocol) หรือ POP3 (Post Office Protocol) ในการดึงข้อมูลอีเมลจากเซิร์ฟเวอร์ไปยังอุปกรณ์ของผู้ใช้ IMAP ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงอีเมลจากอุปกรณ์ต่าง ๆ และเก็บอีเมลไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ ในขณะที่ POP3 จะดาวน์โหลดอีเมลลงมาที่อุปกรณ์และลบจากเซิร์ฟเวอร์
-
การชำระเงินออนไลน์
เมื่อทำการชำระเงินออนไลน์ เช่น การซื้อสินค้าในร้านค้าออนไลน์ โปรโตคอล TLS (Transport Layer Security) หรือ SSL (Secure Sockets Layer) จะช่วยเข้ารหัสข้อมูลการชำระเงิน เช่น หมายเลขบัตรเครดิต หรือข้อมูลส่วนตัว การเข้ารหัสนี้ทำให้ข้อมูลปลอดภัยและไม่สามารถถูกดักจับหรือโจมตีได้ระหว่างการส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้ขาย
-
การเชื่อมต่อ Wi-Fi
หากใช้ VPN (Virtual Private Network) เพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่ายส่วนตัวในระยะไกล โปรโตคอล IPsec (Internet Protocol Security) หรือ OpenVPN จะถูกใช้ในการเข้ารหัสการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ของคุณและเซิร์ฟเวอร์ VPN การเข้ารหัสนี้ช่วยให้การเชื่อมต่อของคุณปลอดภัยจากการดักจับข้อมูล และปกป้องความเป็นส่วนตัวเมื่อใช้งานเครือข่ายสาธารณะ เช่น Wi-Fi ในร้านกาแฟ
-
การส่งข้อความ
เมื่อส่งข้อความผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น SMS, iMessage, หรือ WhatsApp, ข้อความจะถูกส่งผ่านโปรโตคอลต่าง ๆ เช่น SMS protocol สำหรับการส่งข้อความบนเครือข่ายมือถือ หรือ end-to-end encryption สำหรับแอปพลิเคชันที่ใช้การเข้ารหัสข้อความระหว่างผู้ส่งและผู้รับ โปรโตคอลเหล่านี้ช่วยให้การสื่อสารมีความปลอดภัยจากการดักฟังจากบุคคลภายนอก
-
การเชื่อมต่อ Bluetooth
เมื่อเชื่อมต่อหูฟังไร้สายกับสมาร์ทโฟน หรือเชื่อมต่อคีย์บอร์ดกับคอมพิวเตอร์ โปรโตคอล Bluetooth จะช่วยให้การเชื่อมต่อและการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ทำงานได้ Bluetooth ใช้การเชื่อมต่อแบบระยะใกล้และการเข้ารหัสข้อมูลระหว่างอุปกรณ์เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
-
การเข้าถึงบริการ Google หรือ Facebook
เมื่อล็อกอินเข้าสู่บริการต่าง ๆ เช่น Google หรือ Facebook ด้วยการใช้บัญชีที่มีอยู่แล้ว โปรโตคอล OAuth จะทำหน้าที่อนุญาตให้แอปพลิเคชันบุคคลที่สามเข้าถึงข้อมูลจากบัญชีของคุณ โดยไม่ต้องการให้คุณเปิดเผยรหัสผ่าน OAuth ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการใช้บริการออนไลน์
โปรโตคอลในเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโต
โปรโตคอลในเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตคือชุดของกฎหรือข้อกำหนดที่กำหนดวิธีการทำงานของเครือข่ายบล็อกเชนและการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ในระบบ เช่น การยืนยันธุรกรรม การสร้างบล็อกใหม่ หรือการจัดการกับค่าสกุลเงินดิจิทัล ตัวอย่างของโปรโตคอลในเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโต ได้แก่
1. Proof of Work (PoW)
เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการยืนยันและเพิ่มบล็อกใหม่ลงในบล็อกเชน เช่นในบิทคอยน์ (Bitcoin) โดยผู้ขุด (Miners) ต้องแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เพื่อยืนยันธุรกรรมและสร้างบล็อกใหม่
2. Proof of Stake (PoS)
ใช้ในการยืนยันธุรกรรมและเพิ่มบล็อกใหม่บนบล็อกเชน ซึ่งไม่ต้องการการขุดเหมือนใน PoW แต่ใช้การเลือกผู้ที่จะได้สร้างบล็อกใหม่ตามจำนวนเหรียญที่ถืออยู่ (stake) เช่นใน Ethereum 2.0
3. Delegated Proof of Stake (DPoS)
เป็นการพัฒนาจาก PoS โดยให้ผู้ถือเหรียญเลือกตัวแทน (delegate) เพื่อทำการยืนยันธุรกรรมและสร้างบล็อกใหม่ การทำงานเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่นในบล็อกเชนของ EOS
4. Practical Byzantine Fault Tolerance (PBFT)
เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในระบบที่ต้องการความทนทานต่อข้อผิดพลาดและการโจมตีจากผู้ใช้ที่มีพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์ โดยจะตรวจสอบและยืนยันธุรกรรมจากหลายผู้ใช้ก่อนที่จะเพิ่มบล็อกใหม่
5. Zero-Knowledge Proofs (ZKP)
ใช้ในการพิสูจน์ข้อมูลบางอย่างโดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลนั้นๆ ซึ่งเป็นเทคนิคที่สำคัญในคริปโตที่เน้นความเป็นส่วนตัว เช่นใน Zcash ที่ใช้เทคนิคนี้ในการทำธุรกรรมที่เป็นส่วนตัว
6. Lightning Network
เป็นโปรโตคอลที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเพิ่มความเร็วและลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมบนบล็อกเชนของบิตคอยน์ โดยการใช้ช่องทางการชำระเงินระหว่างผู้ใช้งานที่สามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ต้องบันทึกทุกธุรกรรมลงในบล็อกเชนหลัก
โปรโตคอลเหล่านี้ช่วยกำหนดรูปแบบการทำงานของเครือข่ายบล็อกเชนแต่ละประเภทและส่งผลต่อประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และการใช้งานของเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตทั้งหมด
ข้อดีและข้อจำกัดของโปรโตคอล
โปรโตคอลแต่ละประเภทในเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป การเลือกใช้โปรโตคอลขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและวัตถุประสงค์ของระบบบล็อกเชนที่ต้องการ เช่น ความปลอดภัย ความเร็วในการทำธุรกรรม หรือการปกป้องความเป็นส่วนตัว ตัวอย่างข้อดีและข้อจำกัดของโปรโตคอลประเภทต่าง ๆ
1. Proof of Work (PoW)
ข้อดี:
- ความปลอดภัยสูง: เนื่องจากการใช้กำลังการคำนวณจำนวนมากในการยืนยันธุรกรรม ทำให้การโจมตีเครือข่ายหรือการทำลายระบบ (เช่น 51% attack) ยากมาก
- กระจายอำนาจ: ผู้ขุดจากทั่วโลกสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการยืนยันธุรกรรม ทำให้ไม่เกิดการรวมศูนย์
ข้อจำกัด:
- ใช้พลังงานมาก: การขุดต้องใช้พลังงานจำนวนมากซึ่งส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม
- ช้าและมีค่าธรรมเนียมสูง: เนื่องจากการขุดและการยืนยันธุรกรรมต้องใช้เวลาและพลังงานในการคำนวณ ทำให้ธุรกรรมช้าลงและมีค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น
2. Proof of Stake (PoS)
ข้อดี:
-
ใช้พลังงานน้อย: เนื่องจากไม่มีการขุดที่ใช้พลังงานสูงเหมือนใน PoW
-
ความเร็วและประสิทธิภาพสูง: ธุรกรรมสามารถยืนยันได้เร็วขึ้นและมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า
-
กระจายอำนาจ: ผู้ถือเหรียญที่มี stake มากจะได้รับสิทธิในการสร้างบล็อกใหม่ แต่ยังคงสามารถกระจายการควบคุมไปทั่วโลก
ข้อจำกัด:
-
อาจทำให้เกิดการรวมศูนย์: ผู้ที่ถือเหรียญจำนวนมากอาจมีอำนาจในการควบคุมเครือข่ายสูงเกินไป
-
เสี่ยงจากการโจมตี: หากมีการรวมกลุ่มของผู้ที่ถือเหรียญมากในเครือข่าย อาจเกิดการโจมตีหรือการควบคุมเครือข่ายได้
3. Delegated Proof of Stake (DPoS)
ข้อดี:
- ประสิทธิภาพสูง: ธุรกรรมสามารถยืนยันได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการเลือกตัวแทนเพื่อทำหน้าที่ในการยืนยันธุรกรรม
ข้อจำกัด:
- การรวมศูนย์ของตัวแทน: หากตัวแทนที่ได้รับการเลือกมีอำนาจมากเกินไป อาจเกิดการรวมศูนย์และบิดเบือนระบบได้
-
ความเสี่ยงในการเลือกตัวแทน: ผู้ใช้ไม่สามารถมั่นใจได้ว่า ตัวแทนที่เลือกจะทำงานในลักษณะที่โปร่งใสและเป็นธรรม

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรโตคอล
-
โปรโตคอลคืออะไร?
โปรโตคอล (Protocol) คือ ชุดของกฎหรือข้อกำหนดที่กำหนดวิธีการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์หรือระบบต่าง ๆ ในเครือข่าย โดยโปรโตคอลจะช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างมีระเบียบและสามารถทำงานร่วมกันได้ แม้ว่าระบบต่าง ๆ จะใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน ซึ่งโปรโตคอลมีหน้าที่สำคัญในหลายด้าน เช่น
- กำหนดวิธีการส่งข้อมูล
- กำหนดรูปแบบข้อมูล
- การจัดการการเชื่อมต่อและการยืนยันตัวตน
- ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ส่งและรับ
-
โปรโตคอล TCP/IP ต่างจาก HTTP อย่างไร?
TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) เป็นชุดโปรโตคอลพื้นฐานที่ใช้ในการสื่อสารในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งประกอบด้วยโปรโตคอลหลายตัว เช่น TCP และ IPTCP ใช้ในการแบ่งข้อมูลเป็นแพ็กเก็ตและรับประกันว่าแพ็กเก็ตจะถูกส่งอย่างถูกต้องและครบถ้วน IP ใช้ในการกำหนดที่อยู่และส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์ปลายทางในเครือข่าย ส่วน HTTP (Hypertext Transfer Protocol) คือโปรโตคอลที่ทำงานบน TCP/IP และมุ่งเน้นในการส่งข้อมูลแบบข้อความในเว็บไซต์ โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเว็บเพจ เช่น ข้อความ รูปภาพ หรือข้อมูลอื่น ๆ จากเซิร์ฟเวอร์ไปยังเว็บเบราว์เซอร์
-
โปรโตคอลที่ใช้ในบล็อกเชนคืออะไร?
ในบล็อกเชนจะมีโปรโตคอลหลายตัวที่ช่วยในการทำธุรกรรมและเพิ่มบล็อกใหม่ เช่น Proof of Work (PoW), Proof of Stake (PoS), Delegated Proof of Stake (DPoS) และ Practical Byzantine Fault Tolerance (PBFT) เพื่อให้เครือข่ายบล็อกเชนทำงานได้อย่างปลอดภัยและกระจายอำนาจ
-
มีโปรโตคอลอะไรบ้างที่ใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์?
มีโปรโตคอลหลายประเภทที่ใช้ในการสื่อสารและจัดการข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น:
- TCP/IP: ใช้สำหรับการส่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต
- HTTP/HTTPS: ใช้ในการรับส่งข้อมูลระหว่างเว็บเซิร์ฟเวอร์และเว็บเบราว์เซอร์
- FTP (File Transfer Protocol): ใช้ในการถ่ายโอนไฟล์ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์
- SMTP: ใช้ในการส่งอีเมล
- DNS: ใช้ในการแปลงชื่อโดเมนเป็นที่อยู่ IP
- DHCP: ใช้ในการมอบหมายที่อยู่ IP ให้กับเครื่องในเครือข่าย
Conclusion
โปรโตคอลเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้โลกดิจิทัลทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตหรือการจัดการธุรกรรมในระบบบล็อกเชน โปรโตคอลเหล่านี้ช่วยให้การสื่อสารและการทำงานต่าง ๆ เป็นไปอย่างเรียบร้อยนั่นเอง
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด
อ้างอิง
Share this
- Bitazza Blog (104)
- Crypto Weekly (46)
- DAO (15)
- Beginner (14)
- mission (11)
- ความปลอดภัย (11)
- Tether (USDt) (8)
- บล็อกเชน (8)
- bitcoin (7)
- missions (7)
- Learning Hub (6)
- การค้าขาย (6)
- หัวข้อเด่น (6)
- ตลาด (5)
- วิจัย (5)
- Campaigns (3)
- Security (3)
- เศรษฐศาสตร์ (3)
- Bitazza Insights (2)
- Social Features (2)
- Stablecoin (2)
- Token talk (2)
- Trading (2)
- TradingView (2)
- เกี่ยวกับการสอน (2)
- Crypto รายสัปดาห์ (1)
- Disclosure (1)
- ENJ (1)
- Educational (1)
- Featured (1)
- KYC (1)
- NFTs (1)
- SEC (1)
- TRUMP (1)
- บิทาซซ่าบล็อกส์ (1)
Subscribe by email

AAVE คืออะไร? แพลตฟอร์มกู้ยืมในโลก DeFi ที่นักลงทุนต้องรู้

ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลปลอดภาษีอย่างปลอดภัยบน Bitazza Thailand

ประกาศรายชื่อผู้โชคดีจากแคมเปญ “Rate Us, Earn Rewards!”

จับตา SEC สหรัฐฯ อนุมัติ ETF ของ Altcoin ในเดือนกรกฎาคมนี้

ชวนเพื่อนมาใช้ Bitazza Thailand เปิดวิธีส่งคริปโตถึงกัน ง่าย ไม่ต้องใช้ที่อยู่วอลเล็ต

รวมวิธีหาข้อมูลลงทุนคริปโตด้วยตัวเอง (DYOR) ด้วย Bitazza Thailand บน TradingView

Kaspa Coin คืออะไร? ความโดดเด่นของเหรียญเร็วที่สุดในโลก

Grass Coin คืออะไร? เหรียญใหม่มาแรงที่สายคริปโตห้ามพลาด

Pixels Coin คืออะไร? เหรียญคริปโตจากเกม Pixels น่าลงทุนไหมในปี 2025
