ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือที่รู้จักกันในนาม FED เป็นสถาบันการเงินที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ บทความนี้จะพาท่านไปรู้จักกับ FED ในแง่มุมต่าง ๆ ตั้งแต่ความหมาย โครงสร้าง บทบาทหลัก ไปจนถึงผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจโลก
FED (Federal Reserve System) เป็นธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1913 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเงินและควบคุมระบบการเงินของประเทศ หน้าที่หลักของ FED คือการกำหนดนโยบายการเงิน ควบคุมอัตราดอกเบี้ย และดูแลระบบธนาคารเพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศมีความมั่นคง
FED ย่อมาจาก "Federal Reserve" ซึ่งหมายถึง "ธนาคารกลางสหรัฐ" ในภาษาไทย คำว่า "Federal" หมายถึง "สหพันธรัฐ" และ "Reserve" หมายถึง "ทุนสำรอง" รวมกันแล้วหมายถึงสถาบันที่ทำหน้าที่เป็นธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา
ปัจจุบันประธานของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED คือ Jerome Powell ซึ่งดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 2018 โดยได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี Donald Trump และได้รับการแต่งตั้งอีกครั้งในสมัยของประธานาธิบดี Joe Biden เพื่อสานต่อนโยบายและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยหน้าที่หลักของประธาน FED คือการทำหน้าที่เป็นผู้นำในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ที่มีอำนาจในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงินของประเทศ รวมถึงเป็นผู้สื่อสารทิศทางเศรษฐกิจผ่านถ้อยแถลงต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในฐานะตัวแทนของ FED ในการประชุมหรือการเจรจาระดับนานาชาติ ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่ทรงอิทธิพลและเป็นที่จับตามองของนักลงทุนทั่วโลก
โครงสร้างของ FED ประกอบด้วยสามส่วนหลัก ดังนี้:
บทบาทหลักของ FED ประกอบด้วย:
การประชุมคณะกรรมการตลาดเสรีกลาง (Federal Open Market Committee หรือ FOMC) เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve System) ที่มีบทบาทในการกำหนดนโยบายการเงินของประเทศสหรัฐอเมริกา
การประชุมนี้จัดขึ้นประมาณ 8 ครั้งต่อปี หรือทุก ๆ 6 สัปดาห์ เพื่อประเมินสภาวะเศรษฐกิจและตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงินที่เหมาะสม ซึ่งการตัดสินใจของ FOMC มีผลกระทบโดยตรงต่ออัตราดอกเบี้ย ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และตลาดการเงินทั่วโลก นักลงทุนและผู้ที่สนใจเศรษฐกิจจึงติดตามผลการประชุมอย่างใกล้ชิด
FED ใช้เครื่องมือหลายอย่างในการกำหนดนโยบายการเงิน ดังนี้:
การตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve หรือ FED) มีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อเศรษฐกิจโลกในหลายด้าน ดังนี้:
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมองหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นในสกุลเงินดอลลาร์ ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินอื่น ๆ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในสหรัฐฯ ดึงดูดนักลงทุนให้ย้ายเงินทุนเข้าสู่สหรัฐฯ เพื่อหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น ส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งอาจทำให้ค่าเงินของประเทศเหล่านี้อ่อนค่าลงและส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันและทองคำ ปรับตัวลดลง เนื่องจากสินค้าเหล่านี้มักถูกซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์ เมื่อดอลลาร์แข็งค่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในรูปสกุลเงินอื่นจึงเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการลดลงและราคาปรับตัวลงตาม
การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยของ FED อาจกดดันให้ธนาคารกลางของประเทศอื่น ๆ ปรับนโยบายการเงินของตนเอง เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยน ตัวอย่างเช่น หาก FED ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ธนาคารกลางในประเทศอื่นอาจต้องพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตาม เพื่อป้องกันการไหลออกของเงินทุนและรักษาค่าเงินของตน
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลง เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัท นอกจากนี้ การไหลออกของเงินทุนจากตลาดเกิดใหม่กลับไปยังสหรัฐฯ ยังส่งผลให้ตลาดหุ้นในประเทศเหล่านั้นเผชิญกับแรงกดดันเพิ่มเติม ดังนั้น การตัดสินใจของ FED ในการปรับอัตราดอกเบี้ยจึงมีผลกระทบที่ซับซ้อนและกว้างขวางต่อเศรษฐกิจโลก ทั้งในด้านอัตราแลกเปลี่ยน การไหลเวียนของเงินทุน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ นโยบายการเงินของประเทศต่าง ๆ และความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น
เมื่อ FED ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เงินจะมีมูลค่าสูงขึ้นในแง่ของผลตอบแทนจากการถือครอง เช่น การฝากเงินในธนาคารหรือซื้อพันธบัตรจะได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น นักลงทุนจึงมักลดความเสี่ยงด้วยการขายสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่างคริปโตเคอร์เรนซี่ ส่งผลให้ตลาดคริปโตฯ เผชิญกับแรงเทขาย ราคาของเหรียญต่าง ๆ เช่น Bitcoin หรือ Altcoins มักจะปรับตัวลดลงตามมาอย่างชัดเจนในช่วงที่ FED มีนโยบาย “ตึงตัว” ทางการเงิน
ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวหรือเผชิญกับภาวะถดถอย FED มักจะใช้นโยบาย “ผ่อนคลายทางการเงิน” เช่น การลดดอกเบี้ย หรือการทำ Quantitative Easing (QE) ซึ่งเป็นการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรง เมื่อตลาดมีสภาพคล่องมากขึ้น นักลงทุนจะเริ่มหาทางเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงมากขึ้น เช่น คริปโตเคอร์เรนซี่ ทำให้ราคาเหรียญต่าง ๆ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น และกระแส FOMO (Fear of Missing Out) ก็อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงนี้
แม้ FED ยังไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยจริง แต่ถ้อยแถลงของประธาน FED ก็สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อตลาดคริปโตฯ ได้ทันที หากมีการใช้โทน “Hawkish” เช่น การยืนยันว่า FED จะยังขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ นักลงทุนในตลาดคริปโตฯ อาจตอบสนองด้วยการขายเหรียญเพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนล่วงหน้า ในทางกลับกัน หาก FED แสดงท่าที “Dovish” หรือพร้อมชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ก็อาจส่งผลให้ตลาดคริปโตฯ ปรับตัวเป็นขาขึ้นอย่างรวดเร็ว
FED ให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดเศรษฐกิจ เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และอัตราการว่างงาน หากตัวเลขเหล่านี้สูงเกินเป้าหมายที่วางไว้ เช่น เงินเฟ้อเร่งตัวสูงเกิน 2% FED อาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมสถานการณ์ ซึ่งจะกระทบต่อตลาดคริปโตฯ โดยตรง เพราะเป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังเข้าสู่ภาวะ “เข้มงวด” ทางการเงิน นักลงทุนจึงจับตาทุกข้อมูลที่ออกมาจาก FED และสถาบันสถิติ เพราะอาจเปลี่ยนแนวโน้มของตลาดคริปโตได้ในทันที
หลังจากเกิดวิกฤตโควิด-19 ในปี 2020 FED ใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำสุดเกือบ 0% มานานกว่า 2 ปี และในเดือนมีนาคม 2022 เป็นครั้งแรกที่ FED ตัดสินใจ ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี ข่าวนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้ตลาดการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดคริปโตฯ ที่เผชิญแรงเทขายทันที ราคาของ Bitcoin ร่วงจากระดับ $45,000 ลงสู่ $37,000 ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ นักลงทุนเริ่มกังวลว่า “ยุคเงินถูก” กำลังจะสิ้นสุดลง
FED ปรับดอกเบี้ยขึ้นอีก 0.5% ซึ่งถือเป็นการขึ้นแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2000 ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ยังไม่หยุดนิ่ง การปรับนโยบายอย่างหนักนี้ส่งผลให้ตลาดคริปโตเข้าสู่ภาวะ “ตลาดหมี” (Bear Market) อย่างเต็มตัว Bitcoin ร่วงทะลุแนวรับสำคัญ สู่ระดับ $29,000 ส่วน Altcoins หลายตัวสูญเสียมูลค่ากว่า 50% จากจุดสูงสุด หนึ่งในเหตุการณ์ที่สั่นคลอนตลาดอย่างรุนแรงคือการ ล่มสลายของ Terra/LUNA และ UST ซึ่งมูลค่าหายไปเกือบ 99% ในเวลาไม่กี่วัน กระตุ้นความกลัวในหมู่นักลงทุนทั่วโลก
FED ประกาศขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่ยังอยู่เหนือระดับเป้าหมาย ตลาดคริปโตตอบสนองอย่างรุนแรง โดย Bitcoin ร่วงต่ำกว่า $20,000 เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปี ขณะที่ Altcoins หลายตัวเข้าสู่จุดต่ำสุดของปี นักลงทุนเริ่มหวั่นใจว่า FED จะไม่หยุดขึ้นดอกเบี้ยง่าย ๆ และอาจกดดันให้ตลาดเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย
หลังจากดอกเบี้ยถูกดันขึ้นอย่างต่อเนื่อง FED เริ่มส่งสัญญาณว่าอาจ “ชะลอการขึ้นดอกเบี้ย” หากเงินเฟ้อเริ่มลดลง นักลงทุนตีความว่าเป็นการเข้าใกล้จุดสิ้นสุดของวงจรขึ้นดอกเบี้ย ราคาของ Bitcoin เริ่มฟื้นตัวจากโซน $19,000 กลับมายืนเหนือ $25,000 ได้อีกครั้ง ความหวังว่า FED จะกลับมาใช้นโยบายแบบ “ผ่อนคลาย” ดันให้เม็ดเงินไหลกลับเข้าตลาดคริปโตอีกครั้ง
FED เริ่มหยุดขึ้นดอกเบี้ยและใช้ถ้อยแถลงในเชิง "Dovish" มากขึ้น ท่ามกลางเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ตลาดคริปโตฯ กลับมามีความคึกคักอีกครั้ง โดย Bitcoin ฟื้นตัวแตะ $35,000 และมีนักวิเคราะห์บางรายคาดว่า "Crypto Bull Run รอบใหม่อาจกำลังมา" นักลงทุนรายใหญ่เริ่มหันกลับมาเปิดพอร์ตในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะการไหลเข้าของสถาบันในตลาด ETF คริปโตฯ
หลังจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงมานาน ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่า FED อาจ “ลดดอกเบี้ย” ภายในต้นปี 2026 หากเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยในช่วงปลายปี 2025 นักลงทุนในตลาดคริปโตฯ จับตาทุกคำพูดของประธาน FED อย่างใกล้ชิด เพราะการลดดอกเบี้ยอาจเป็นชนวนสำคัญของ “รอบกระทิง” ใหม่ในสินทรัพย์ดิจิทัล การเก็งกำไรก็กลับมาเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในเหรียญใหญ่และ Altcoins ชั้นนำ
FED มีหน้าที่หลักในการกำหนดนโยบายการเงินของสหรัฐอเมริกา โดยมุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพของราคา การส่งเสริมการจ้างงาน และการรักษาอัตราดอกเบี้ยระยะยาวในระดับปานกลาง นอกจากนี้ FED ยังมีหน้าที่ในการกำกับดูแลและควบคุมสถาบันการเงิน เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน
(BOT) เป็นธนาคารกลางของไทย มีบทบาทคล้ายกัน แต่ดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมของประเทศไทย มีหน้าที่หลักในการกำหนดนโยบายการเงินภายในประเทศและการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน
แม้ว่า FED จะไม่มีอำนาจโดยตรงเหนือระบบการเงินโลก แต่การตัดสินใจของ FED โดยเฉพาะการปรับอัตราดอกเบี้ย มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินทั่วโลก เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก
การประชุมของ FED มักจะมีการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงิน เช่น การปรับอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการกู้ยืมของธุรกิจและผู้บริโภค ต้นทุนทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงส่งผลต่อกำไรของบริษัทและความน่าสนใจในการลงทุน ทำให้ตลาดหุ้นตอบสนองต่อการตัดสินใจของ FED อย่างรวดเร็ว
ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างกว้างขวาง ทั้งในด้านอัตราดอกเบี้ย ค่าเงิน ตลาดหุ้น และตลาดคริปโต การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยของ FED มีผลต่อการตัดสินใจลงทุน การไหลเวียนของเงินทุน และราคาสินค้า นอกจากนี้ นโยบายการเงินของ FED ยังส่งผลให้ธนาคารกลางในประเทศอื่น ๆ ต้องปรับตัวตามเพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจภายในประเทศของตนเอง
แม้ว่า FED จะช่วยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและควบคุมเงินเฟ้อ แต่ในบางกรณีก็อาจทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะในช่วงที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การติดตามการตัดสินใจของ FED อย่างใกล้ชิดสามารถช่วยให้นักลงทุนและผู้ที่สนใจเศรษฐกิจโลกสามารถปรับกลยุทธ์ทางการเงินได้อย่างเหมาะสม
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด
อ้างอิง