Ethereum Virtual Machine หรือ EVM คือ อีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการทำงานบนเครือข่าย บล็อกเชน Ethereum และบล็อกเชนอื่นที่รองรับ Ethereum อีกหลายเครือข่าย เพราะ EVM ถือเป็นกลไกที่ทำให้โค้ดของ Smart Contract ถูกรันเหมือนกันทุกโหนด จึงสร้างทั้งความปลอดภัย ความโปร่งใส และเปิดทางให้เกิดแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (dApps) ได้จริงในโลกบล็อกเชน
Ethereum Virtual Machine หรือ EVM คือ ระบบประมวลผลแบบกระจายศูนย์ที่ใช้รัน Smart Contract บนเครือข่าย Ethereum ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างพื้นฐาน Ethereum ข้อดีของ EVM นั้นช่วยประมวลผลโค้ดได้ตรงตามที่ต้องการ
ทั้งนี้ EVM ยังเป็นเครื่องเสมือนที่ทำงานอยู่บนคอมพิวเตอร์ หรือโหนดหลายพันโหนดที่อยู่บนเครือข่าย Ethereum คุณสมบัติที่เน้นความกระจายศูนย์หรือ Decentralized ส่งผลให้เครือข่าย Ethereum มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือ
EVM มีบทบาทสำคัญในการรักษา Consensus รวมทั้งหมดบนบล็อกเชน Ethereum กล่าวคือ โหนดทุกตัวบนเครือข่าย Ethereum จะรัน EVM เหมือนกัน เพื่อให้ทุกโหนดเห็นพ้องต้องกันเกี่ยวกับสถานะของบล็อกเชน ความคิดเห็นที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันนี้เองทำให้เครือข่าย Ethereum ปลอดภัยและคงความถูกต้องของข้อมูล
นอกจากนี้ EVM ยังสามารถรัน Smart Contract ซึ่งส่งผลให้สามารถสร้างแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (dApps) ได้ โดยแอปพลิเคชันดังกล่าวจะทำงานบนบล็อกเชน ไม่ได้รันบนเซิร์ฟเวอร์ส่วนกลาง จึงช่วยเปิดโอกาสให้ทั้งนักพัฒนาและผู้ใช้งานสร้างและใช้บริการรูปแบบใหม่ ๆ ได้หลากหลาย ตั้งแต่แอปฯ ด้านการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) ไปจนถึงโทเคนที่ไม่ซ้ำกัน (NFTs)
อย่างที่รู้กันคร่าว ๆ ว่า EVM มีบทบาทในการรัน Smart Contract บนเครือข่ายบล็อกเชน แต่หากพิจารณาขั้นตอนการทำงานของ EVM นั้นจะมีหลายกระบวนการ โดยทั่วไปแล้ว Ethereum Virtual Machine หรือ EVM นั้นมีลักษณะการทำงานที่เปลี่ยน State ของบล็อกเชน โดยการเปลี่ยน State บล็อกเชนนั้นว่าด้วยการคำนวณและอัปเดตสถานะใหม่ที่ถูกต้องจากบล็อกหนึ่งไปสู่อีกบล็อกหนึ่งตามกฎที่กำหนดไว้ล่วงหน้า โดยกฎเหล่านี้เป็นตัวกำหนดวิธีการรัน Smart Contract และอัปเดตสถานะของบล็อกเชน Ethereum
เมื่อระบบรัน Smart Contract แล้วนั้น EVM จะตีความโค้ดของ Contract ดังกล่าว ซึ่งเดิมเขียนด้วยภาษาที่ชื่อว่า Solidity แล้วถูกแปลงเป็นไบต์โค้ด (Bytecode) อีกที จากนั้น EVM จะใช้ไบต์โค้ดนี้ เพื่อทำงานตามขั้นตอนต่าง ๆ และให้มั่นใจว่าโค้ดของ Contract ถูกประมวลผลตรงตามที่เขียนไว้ทุกประการ
หากว่ากันถึงคุณสมบัติเด่นของ Ethereum Virtual Machine หรือ EVM แล้วนั้น อาจสรุปได้ ดังนี้
EVM-Compatible Blockchain หรือ ความเข้ากันของเครือข่ายบนกลไก EVM นั้น คือ การส่งเสริมให้บล็อกเชนต่างเครือข่ายทำงานร่วมกันได้ (interoperability) ทำให้สามารถสื่อสารและโต้ตอบกับ Ethereum mainnet ได้อย่างลื่นไหล รองรับทั้งธุรกรรมข้ามเชน การโอนย้ายสินทรัพย์ และการแชร์ข้อมูล เครือข่ายที่เชื่อมโยงกันแบบนี้ช่วยขยายศักยภาพการทำงานและการเข้าถึงของแพลตฟอร์มกระจายศูนย์
ความเป็น EVM-Compatible Blockchain นี้เองทำให้นักพัฒนาสามารถนำ Smart Contract และ dApp ที่เขียนมาสำหรับ Ethereum ไปปรับใช้บนเชนอื่นได้โดยไม่ต้องแก้โค้ดมาก
นอกจากนี้ เชนที่รองรับ EVM ยังช่วยให้นักพัฒนาที่คุ้นเคยกับเครื่องมือและภาษาของ Ethereum อยู่แล้ว พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งลดทั้งเวลาเรียนรู้และอุปสรรคในการเริ่มต้น ส่งผลให้มีคนเข้ามาใช้งานและพัฒนาบนแพลตฟอร์มเหล่านี้มากขึ้น
จริง ๆ แล้ว Ethereum Virtual Machine หรือ EVM กับ Smart Contract นั้นล้วนมีความสัมพันธ์ที่พึ่งพากันในเชิงการทำงาน กล่าวคือ Smart Contract คือโค้ดโปรแกรมที่กำหนดกติกา ส่วน EVM คือสภาพแวดล้อมรันไทม์แบบกระจายศูนย์ที่นำโค้ดนั้นไปรันบนเครือข่าย จึงอาจกล่าวได้ว่า ทั้ง EVM และ Smart Contract ไม่ใช่เทคโนโลยีที่มาแข่งกัน แต่เป็นส่วนประกอบที่ทำงานร่วมกันในระบบนิเวศเดียวกัน
แม้ว่า Ethereum Virtual Machine หรือ EVM จะมีคุณสมบัติที่น่าสนใจหลายอย่าง แต่ลองมาเทียบดูกันว่า จริง ๆ แล้ว EVM มีข้อดีและข้อจำกัดที่น่าพิจารณา ดังนี้
แม้ว่า EVM จะเป็นองค์ประกอบหลักของเครือข่าย Ethereum แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า EVM จะถูกนำไปปรับใช้เฉพาะบนเครือข่ายบล็อกเชน Ethereum เท่านั้น เพราะยังมีบล็อกเชนอื่นที่ใช้กลไก EVM เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Polygon, Arbitrum และ Avalanche นั่นก็เพราะ EVM มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องของการรัน Smart Contract ตามที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งเอื้อให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันที่นำไปรันบนหลายบล็อกเชนได้ง่ายขึ้น ความสามารถในการทำงานข้ามเครือข่ายแบบนี้จึงถือเป็นข้อได้เปรียบสำคัญของ EVM และเป็นเหตุผลที่ทำให้ถูกนำไปปรับใช้กันอย่างกว้างขวางในแวดวงของบล็อกเชนคริปโต
เมื่อวงการบล็อกเชนยังคงพัฒาไปเรื่อยๆ EVM ก็มีแนวโน้มจะยังคงมีบทบาทสำคัญต่อไป เพราะความสามารถในการรันสมาร์ตคอนแทรกต์และรักษาฉันทามติบนบล็อกเชน ทำให้มันเป็นองค์ประกอบหลักของบล็อกเชนทุกตัวที่รองรับ dApps
นอกจากนี้ หากว่ากันถึงทิศทางของ EVM ในวันข้างหน้าด้วยแล้ว ก็อาจกล่าวได้ว่า EVM มีแนวโน้มที่จะถูกนำไปเชื่อมต่อและทำงานร่วมกันระหว่างบล็อกเชนต่าง ๆ ด้วย หรือที่เรียกว่า Interoperability โดยเฉพาะเมื่อมีบล็อกเชนหลายบล็อกเชนหันมาปรับใช้ EVM กันมากขึ้น ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เกิดแอปพลิเคชันและบริการแบบข้ามเชนรูปแบบใหม่ ๆ ตามมา
EVM Compatible คือ ความเข้ากันของเครือข่ายบล็อกเชนที่ใช้ EVM โดยสามารถเชื่อมต่อและทำงานร่วมกับบล็อกเชนอื่นได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะกับ Ethereum mainnet เอื้อให้เกิดการสื่อสารกันข้ามเชนได้ ทั้งการทำธุรกรรม การย้ายสินทรัพย์ และการแลกเปลี่ยนข้อมูล ทำให้ระบบกระจายศูนย์ขยายตัวได้ง่าย
เพราะเครือข่ายบล็อกเชนส่วนใหญ่อยากใช้มาตรฐานเดียวกับบล็อกเชน Ethereum เพื่อย้าย dApp หรือโทเคนได้ง่าย รวมทั้งเชื่อมต่อกับ Ecosystem ที่ใหญ่ที่สุดโดยไม่ต้องแก้โค้ดมากนัก
เพราะ EVM ถือเป็นกลไกการขับเคลื่อนเครือข่ายบล็อกเชนที่มีมาตรฐานกลางและปลอดภัย ใช้งานแพร่หลาย และมีเครื่องมือให้พัฒนาจริง ทำให้บล็อกเชนจำนวนมากเลือกจะรองรับ EVM แทนที่จะสร้างระบบใหม่ทั้งหมด นี่จึงไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่ช่วยรันโค้ดบนเครือข่าย แต่เป็นสะพานเชื่อม Ecosystem บล็อกเชนให้ทำงานร่วมกันได้ และยังเปิดพื้นที่ให้ dApps, DeFi, NFT และบริการ Web3 ใหม่ ๆ เติบโตต่อไปได้ง่ายขึ้น
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด
อ้างอิง