EOS คือโปรเจกต์ที่สร้างขึ้นโดย Dan Larimer และ Brendan Blumer ได้เปิดระดมทุน หรือ ICO ในวันที่ 26 มิถุนายน 2017 และระดมทุนเสร็จในวันที่ 1 มิถุนายน 2018 และได้รับเงินจากการระดมทุนไปกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ โดย EOS เป็นโปรเจคบล็อกเชนที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างความแตกต่างจากบล็อกเชนอื่น ๆ ในปัจจุบัน ทั้งในเรื่องการทำธุรกรรมได้หลายล้านธุรกรรมต่อวินาทีและตั้งใจทำให้เป็นระบบปฏิบัติการแบบ Decentralized
EOS คืออะไร?
EOS (ย่อมาจาก "Enterprise Operation System") คือแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการพัฒนาและใช้งานแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Applications หรือ DApps) และสัญญาอัจฉริยะโดยมีจุดเด่นในด้านความเร็วและการประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูง รวมถึงสามารถรองรับธุรกรรมจำนวนมากในเวลาอันสั้น EOS จะสามารถทำธุรกรรมได้ถึงหลายล้านธุรกรรมต่อวินาทีเพราะ กลไก Delegated-Proof-of-stake (DPoS) ซึ่งต่างจากทาง Bitcoin หรือ Ethereum ที่ใช้ระบบ Proof-of-work (PoW) โดยในปัจจุบันหลายโปรเจกต์ Blockchain ใหม่ ๆ ได้หันมาใช้ระบบ Proof-of-stake แทน เนื่องจากมีประสิทธิภาพ และไม่กินพลังงาน รวมทั้งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าการเปิดเครื่องขุด
EOSIO คือเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เป็นพื้นฐานของแพลตฟอร์ม EOS ซึ่งมีจุดเด่นในด้านการรองรับการประมวลผลที่รวดเร็วและประสิทธิภาพสูง โดยมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถรองรับแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (DApps) และธุรกรรมที่ต้องการความเร็วสูงและต้นทุนต่ำได้
1. Delegated Proof of Stake (DPoS)
DPoS เป็นระบบการพิสูจน์ความถูกต้องของธุรกรรมที่ใช้ใน EOSIO ซึ่งแตกต่างจาก Proof of Work (PoW) ที่ต้องการการใช้พลังงานสูงหรือ Proof of Stake (PoS) ที่ต้องการการล็อกเหรียญ EOS ไว้ ในระบบ DPoS ผู้ถือเหรียญ EOS จะเลือก "Block Producers" หรือ BP (ผู้ผลิตบล็อก) ซึ่งจะรับผิดชอบในการสร้างบล็อกและตรวจสอบธุรกรรม ระบบนี้ช่วยให้การประมวลผลธุรกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยสามารถประมวลผลได้หลายพันธุรกรรมต่อวินาที (TPS) และยังช่วยให้ระบบมีความยืดหยุ่นในการปรับปรุงและพัฒนา
2. ความสามารถในการปรับขนาด (Scalability)
EOSIO รองรับการขยายระบบให้สามารถรองรับธุรกรรมจำนวนมากโดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพ โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การพัฒนาและปรับแต่งโปรโตคอลให้รองรับจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการจัดการและควบคุมการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้ EOSIO สามารถรองรับแอปพลิเคชันที่มีการใช้งานสูงและธุรกรรมที่ต้องการความเร็ว
3. ระบบการทำธุรกรรมที่ไม่มีค่าธรรมเนียม (Fee-less Transactions)
EOSIO ใช้กลไกการทำธุรกรรมที่ไม่เก็บค่าธรรมเนียมโดยตรงจากผู้ใช้ (การทำธุรกรรมจะไม่เสียค่าธรรมเนียมเหมือนกับบล็อกเชนบางตัวที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมสูง) แทนที่ผู้ใช้จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียม EOSIO ใช้ระบบการ "staking" หรือการล็อกเหรียญ EOS เพื่อใช้ทรัพยากรในการประมวลผลธุรกรรมหรือการใช้ DApps ต่าง ๆ
4. Smart Contracts และ WebAssembly (WASM)
EOSIO รองรับการพัฒนาและรัน Smart Contracts ที่เขียนในภาษา C++ โดยใช้ WebAssembly (WASM) เป็นเครื่องมือในการคอมไพล์ ซึ่งทำให้สามารถพัฒนาและรัน Smart Contracts ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว และสามารถรองรับการทำธุรกรรมจำนวนมากได้
5. การจัดการและการควบคุมการใช้ทรัพยากร (Resource Management)
EOSIO ใช้ระบบการ "staking" หรือการล็อกเหรียญ EOS เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงทรัพยากรจำเป็นสำหรับการดำเนินธุรกรรม เช่น CPU, NET, และ RAM
6. การปกครองและการอัปเดตโปรโตคอล (Governance and Upgrades)
EOSIO ใช้กลไกการปกครองแบบประชาธิปไตย (Decentralized Governance) ซึ่งผู้ถือเหรียญ EOS มีสิทธิในการเลือก Block Producers ที่จะดูแลและปฏิบัติหน้าที่ในเครือข่าย ระบบนี้ช่วยให้การอัปเกรดและการเปลี่ยนแปลงในระบบสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายและยืดหยุ่น โดยไม่จำเป็นต้องใช้การ Hard Fork แบบในบล็อกเชนอื่น
7. การสนับสนุนการพัฒนา DApps
EOSIO มีเครื่องมือและฟีเจอร์ที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (DApps) ได้ง่าย การรองรับภาษา C++ และ WebAssembly ทำให้การพัฒนา Smart Contracts บน EOSIO เป็นไปได้รวดเร็วและสามารถตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย
ทั้ง EOS และ Ethereum เป็นบล็อกเชนที่รองรับ Smart Contracts และ DApps (Decentralized Applications) แต่มีความแตกต่างกันในหลายด้าน เช่น โครงสร้างเครือข่าย กลไกฉันทามติ Ethereum ใช้ Proof-of-Stake (PoS) ส่วน EOS ใช้ Delegated Proof-of-Stake (DPoS) ซึ่งช่วยให้ประมวลผลเร็วกว่า ค่าธรรมเนียม Ethereum มีค่าธรรมเนียมที่ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของเครือข่าย ส่วน EOS ไม่มีค่าธรรมเนียม และความสามารถในการขยายตัว
EOS เป็นบล็อกเชนที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ DApps (Decentralized Applications) โดยเน้น ความเร็วสูง ค่าธรรมเนียมต่ำ และประสิทธิภาพที่สามารถรองรับการขยายตัวของเครือข่ายได้ดี ซึ่งทำให้เป็นหนึ่งในคู่แข่งที่สำคัญของ Ethereum จุดเด่นที่ทำให้ EOS Coin โดดเด่น ได้แก่
EOS ไม่คิดค่าธรรมเนียมต่อธุรกรรมเหมือน Ethereum ที่ต้องจ่าย Gas Fees แต่จะใช้การ Stake เหรียญเพื่อใช้ทรัพยากร (CPU, RAM, NET) แทนการจ่ายค่าธรรมเนียม ช่วยให้ผู้ใช้สามารถโอนเหรียญและใช้ DApps ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ใช้ C++ ในการพัฒนา Smart Contracts ซึ่งเป็นภาษาที่มีประสิทธิภาพสูง มีเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาเพื่อช่วยให้สร้าง DApps ได้ง่ายขึ้น เป็นหนึ่งในบล็อกเชนที่ได้รับความนิยมสำหรับ เกมบล็อกเชน (GameFi) และโซเชียลมีเดียแบบกระจายศูนย์
EOS สามารถรองรับ DApps ที่ต้องการประมวลผลธุรกรรมจำนวนมาก เช่น เกม โซเชียลมีเดีย และ DeFi ไม่มีปัญหาความแออัดของเครือข่ายแบบ Ethereum
EOS Coin ถูกนำมาใช้งานหลายด้าน ดังนี้
หากต้องการซื้อเหรียญ EOS มีขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้
EOS เป็นหนึ่งในบล็อกเชนที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ Smart Contracts และ DApps (Decentralized Applications) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม มีบล็อกเชนอื่น ๆ ที่แข่งขันในตลาดเดียวกัน เช่น Ethereum, Solana, BNB Chain และ Avalanche ซึ่งแต่ละเครือข่ายมีจุดแข็งและข้อจำกัดของตัวเอง
หาก EOS พัฒนาระบบนิเวศของตนอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดนักลงทุน และนักพัฒนาให้มาใช้งานเครือข่าย EOS ก็จะเป็นหนึ่งในบล็อกเชนสำคัญที่น่าจับตามอง
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด
อ้างอิง