เมื่อได้ก้าวเข้าสู่โลกการเทรด สิ่งสำคัญที่ควรจะต้องเรียนรู้คือการวิเคราะห์กราฟราคาเพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต และหนึ่งในตัวชี้วัดพื้นฐานที่นักเทรดมือใหม่ไม่ควรมองข้ามก็คือ “แนวรับ” และ “แนวต้าน” ที่จะช่วยวางกลยุทธ์การซื้อขายได้อย่างมั่นใจ บทความนี้จะพาไปทำเข้าใจว่าแนวรับ แนวต้านคืออะไร วิธีการหาจุดเหล่านี้ทำได้อย่างไร รวมถึงเทคนิคและตัวอย่างการใช้งานจริง ที่จะช่วยให้พร้อมสำหรับการลงสนามเทรดได้ทันที!
แนวรับ แนวต้าน คือ เครื่องมือทางเทคนิคที่แสดงการทำงานร่วมกันของแรงซื้อและแรงขาย ช่วยคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาเพื่อหาจุดที่เหมาะสมในการเข้าเทรด
แนวรับ (Support) คือ จุดที่ราคาลงมาถึงและดีดกลับขึ้น เนื่องจากมีแรงซื้อ (Demand) เข้ามาหนุน นักลงทุนเลยมองว่าเป็นโอกาสในการซื้อ ส่งผลให้ราคาหยุดตก เปรียบเสมือนพื้นที่คอยรองรับไม่ให้ราคาตกลงไปต่ำกว่าเดิม
แนวต้าน (Resistance) คือ จุดที่ราคาขึ้นไปถึงและถูกกดกลับลงมา เนื่องจากมีแรงขาย (Supply) เป็นจำนวนมากเพราะนักลงทุนมองว่าราคาเริ่มสูงเกินไป จึงขายเพื่อทำกำไร ส่งผลให้ราคาขึ้นต่อยาก เปรียบเสมือนเพดานที่คอยกดไม่ให้ราคาทะลุไปมากกว่าเดิม
Horizontal เป็นจุดที่สามารถมองเห็นได้ง่าย โดยลากเส้นแนวนอนจากจุดที่ราคากลับตัวหลายครั้ง เมื่อราคาถึงจุดดังกล่าว มักจะหยุดและไม่สามารถขึ้นสูงกว่าหรือต่ำลงกว่าระดับเดิมที่เคยกลับตัวได้อีก และหากตลาดอยู่ในภาวะสมดุล ราคาก็จะแกว่งตัวอยู่ในกรอบระหว่างเส้นแนวรับและแนวต้านเหล่านี้
เส้นแนวโน้ม (Trendline) คือการลากเส้นไปตามทิศทางของตลาดไม่ว่าจะขาขึ้นหรือขาลง เมื่อตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น เส้น Trendline จะถูกลากไว้ด้านล่างของราคา โดยทำหน้าที่เป็น “แนวรับ” เมื่อราคาย่อลงมาแตะที่เส้นก็มักจะดีดกลับขึ้นไปอีกครั้ง ในทางกลับกัน เมื่อเส้น Trendline ถูกลากไว้ด้านบนราคา ทำหน้าที่เป็น “แนวต้าน” เมื่อราคาปรับตัวขึ้นมาแตะเส้น ก็มักจะเจอแรงขายกดให้ลงต่อ
เส้นค่าเฉลี่ย เป็นเส้นที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและทำหน้าที่เป็นแนวรับแนวต้านโดยอัตโนมัติ เมื่อราคาปรับตัวลงมาแตะเส้นแล้วเด้งขึ้น มักบ่งบอกถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง ทำให้เส้น MA ทำหน้าที่เป็นแนวรับ และหากราคาปรับตัวขึ้นมาแตะเส้น MA แล้วถูกกดลง มักสะท้อนถึงแรงซื้ออ่อนแอ เส้นค่าเฉลี่ยจึงทำหน้าที่เป็นแนวต้านของราคา
Fibonacci Retracement เป็นเครื่องมือที่อิงจากสัดส่วนทางคณิตศาสตร์ มีระดับที่สำคัญ คือ 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8, และ 78.6% โดยลากจากจุดสูงสุดของเทรนด์ขาขึ้นไปยังจุดต่ำสุดในเทรนด์ขาลง จากนั้นนำอัตราส่วน Fibonancci มาใช้กับความต่างระหว่างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด เพื่อกำหนดระดับแนวรับแนวต้านที่อาจเกิดขึ้น
เมื่อทราบกันแล้วว่าแนวรับแนวต้านดูยังไง ขั้นตอนต่อไปคือการนำไปปรับใช้กับกลยุทธ์การเทรดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ดังนี้
กราฟตัวอย่างของ SET50 มี Resistance ที่สำคัญอยู่บริเวณระดับ ~841.5 ซึ่งเป็นจุดที่มีราคาสูงสุดของกราฟและไม่สามารถผ่านไปได้จึงเกิดการหลุดลงมา ในส่วนของ Support แรกนั้นอยู่ที่ระดับ 838.7 แม้จะพยายามหน้าที่ประคองราคา แต่เมื่อถูกทดสอบหลายครั้งก็ทำให้ราคาปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีแนวรับใหม่อยู่บริเวณ 836 ที่เป็นแนวรับสำคัญระยะสั้น สะท้อนภาพรวมของกราฟ ณ ช่วงเวลาดังกล่าวของ SET50 ที่มีทิศทางขาลงในระยะสั้นอย่างชัดเจน
กราฟตัวอย่างของ Bitcoin มีราคาที่วิ่งขึ้นลงอยู่ในกรอบชัดเจน โดย Resistance อยู่ที่ ~116,100 ทำหน้าที่เป็นเพดานราคาที่แข็งแกร่ง สังเกตได้ว่าราคาวิ่งขึ้นไปที่โซนทดสอบนี้หลายครั้งแต่ก็ยังไม่สามารถทะลุผ่านไปได้ ทำให้เป็นจุดที่นักลงทุนส่วนใหญ่พร้อมใจกันขายเพื่อทำกำไร ขณะที่ Support หลักอยู่ที่ ~115,690 เปรียบได้กับพื้นราคา ที่มีการดีดตัวกลับขึ้นไปหลายครั้ง รวมถึงยังมี Minor Support แถว 115,800-115,850 ที่คอยประครองราคาในระยะสั้นด้วยเช่นกัน
แนวรับ แนวร้านเป็น Indicator ที่สามารถใช้ได้ทั้งกับหุ้นและคริปโต เพราะทั้งสองตลาดมีการเคลื่อนไหวที่คล้ายกัน โดยใช้เพื่อวิเคราะห์หาจุดกลับตัวหรือจุดที่ราคามีโอกาสเปลี่ยนแปลงทิศทางได้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจะต้องระมัดระวังในการใช้งานและอาจต้องร่วมกับตัวชี้วัดอื่น ๆ เพื่อประกอบการซื้อขาย
ในการเทรด การใช้เพียงแนวรับแนวต้านอย่างเดียวอาจจะไม่พอ นักลงทุนควรใช้ Indicator อื่นร่วมด้วยเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์ โดยเครื่องมือที่นิยิมใช้ร่วมกัน ได้แก่ Moving Average ,RSI (Relative Strength Index), Bollinger Bands และ Volume
แนวรับ แนวต้านไม่ได้เป็นค่าคงที่ แต่จะเปลี่ยนแปลงตามพฤติกรรมของตลาดที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความไม่สมดุลของแรงซื้อ-แรงขาย, การสะสมของราคา, จิตวิทยาของตลาด, ผลประกอบการของบริษัท, ข่าวเศรษฐกิจ และเหตุการณ์ระดับโลก
สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ การฝึกหาแนวรับ แนวต้านควรเริ่มจากการเลือก Timeframe ที่ชัดเจนเพื่ออ่านพฤติกรรมราคา จากนั้นดูกราฟย้อนหลังเพื่อหาช่วงราคาที่เคยเป็นจุดหยุดพักของแนวโน้ม ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวลงหรือปรับตัวขึ้น แล้วสังเกตต่อว่าเมื่อราคากลับมาระดับเดิมอีกครั้ง จะมีการหยุดหรือเปลี่ยนทิศทางเมื่อเข้าใกล้ระดับนั้นหรือไม่ หากฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เข้าใจและมองแนวรับแนวต้านได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
แนวรับแนวต้านถือเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยวิเคราะห์และวางแผนการเทรดที่นักลงทุนมือใหม่ทุกคนควรรู้ เพราะช่วยให้สามารถช่วยคาดการณ์การกลับตัวของตลาด รวมถึงระบุการเคลื่อยไหวหลักของตลาดได้ เทรดเดอร์ที่สามารถเข้าใจในแนวรับแนวต้านจะสามารถสร้างกลยุทธ์การเทรดที่มั่นคงและยั่งยืนได้มากยิ่งขึ้น
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด
อ้างอิง