Share this
แนวรับ แนวต้าน คืออะไร? เทคนิคดูกราฟราคาสำหรับนักเทรดมือใหม่
เมื่อได้ก้าวเข้าสู่โลกการเทรด สิ่งสำคัญที่ควรจะต้องเรียนรู้คือการวิเคราะห์กราฟราคาเพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต และหนึ่งในตัวชี้วัดพื้นฐานที่นักเทรดมือใหม่ไม่ควรมองข้ามก็คือ “แนวรับ” และ “แนวต้าน” ที่จะช่วยวางกลยุทธ์การซื้อขายได้อย่างมั่นใจ บทความนี้จะพาไปทำเข้าใจว่าแนวรับ แนวต้านคืออะไร วิธีการหาจุดเหล่านี้ทำได้อย่างไร รวมถึงเทคนิคและตัวอย่างการใช้งานจริง ที่จะช่วยให้พร้อมสำหรับการลงสนามเทรดได้ทันที!
แนวรับ แนวต้าน คืออะไร
แนวรับ แนวต้าน คือ เครื่องมือทางเทคนิคที่แสดงการทำงานร่วมกันของแรงซื้อและแรงขาย ช่วยคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาเพื่อหาจุดที่เหมาะสมในการเข้าเทรด
แนวรับ (Support) คือ จุดที่ราคาลงมาถึงและดีดกลับขึ้น เนื่องจากมีแรงซื้อ (Demand) เข้ามาหนุน นักลงทุนเลยมองว่าเป็นโอกาสในการซื้อ ส่งผลให้ราคาหยุดตก เปรียบเสมือนพื้นที่คอยรองรับไม่ให้ราคาตกลงไปต่ำกว่าเดิม
แนวต้าน (Resistance) คือ จุดที่ราคาขึ้นไปถึงและถูกกดกลับลงมา เนื่องจากมีแรงขาย (Supply) เป็นจำนวนมากเพราะนักลงทุนมองว่าราคาเริ่มสูงเกินไป จึงขายเพื่อทำกำไร ส่งผลให้ราคาขึ้นต่อยาก เปรียบเสมือนเพดานที่คอยกดไม่ให้ราคาทะลุไปมากกว่าเดิม
ประเภทของแนวรับ แนวต้าน
- แนวรับแนวต้านแบบแนวนอน (Horizontal Support/Resistance)
Horizontal เป็นจุดที่สามารถมองเห็นได้ง่าย โดยลากเส้นแนวนอนจากจุดที่ราคากลับตัวหลายครั้ง เมื่อราคาถึงจุดดังกล่าว มักจะหยุดและไม่สามารถขึ้นสูงกว่าหรือต่ำลงกว่าระดับเดิมที่เคยกลับตัวได้อีก และหากตลาดอยู่ในภาวะสมดุล ราคาก็จะแกว่งตัวอยู่ในกรอบระหว่างเส้นแนวรับและแนวต้านเหล่านี้
- แนวรับแนวต้านตามเส้นแนวโน้ม (Trendline Support/Resistance)
เส้นแนวโน้ม (Trendline) คือการลากเส้นไปตามทิศทางของตลาดไม่ว่าจะขาขึ้นหรือขาลง เมื่อตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น เส้น Trendline จะถูกลากไว้ด้านล่างของราคา โดยทำหน้าที่เป็น “แนวรับ” เมื่อราคาย่อลงมาแตะที่เส้นก็มักจะดีดกลับขึ้นไปอีกครั้ง ในทางกลับกัน เมื่อเส้น Trendline ถูกลากไว้ด้านบนราคา ทำหน้าที่เป็น “แนวต้าน” เมื่อราคาปรับตัวขึ้นมาแตะเส้น ก็มักจะเจอแรงขายกดให้ลงต่อ
- แนวรับแนวต้านจากเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average)
เส้นค่าเฉลี่ย เป็นเส้นที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและทำหน้าที่เป็นแนวรับแนวต้านโดยอัตโนมัติ เมื่อราคาปรับตัวลงมาแตะเส้นแล้วเด้งขึ้น มักบ่งบอกถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง ทำให้เส้น MA ทำหน้าที่เป็นแนวรับ และหากราคาปรับตัวขึ้นมาแตะเส้น MA แล้วถูกกดลง มักสะท้อนถึงแรงซื้ออ่อนแอ เส้นค่าเฉลี่ยจึงทำหน้าที่เป็นแนวต้านของราคา
- แนวรับแนวต้านจาก Fibonacci Retracement
Fibonacci Retracement เป็นเครื่องมือที่อิงจากสัดส่วนทางคณิตศาสตร์ มีระดับที่สำคัญ คือ 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8, และ 78.6% โดยลากจากจุดสูงสุดของเทรนด์ขาขึ้นไปยังจุดต่ำสุดในเทรนด์ขาลง จากนั้นนำอัตราส่วน Fibonancci มาใช้กับความต่างระหว่างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด เพื่อกำหนดระดับแนวรับแนวต้านที่อาจเกิดขึ้น
วิธีการหาแนวรับ แนวต้าน
1. ใช้จุด High / Low ในอดีต
- เลือก Timeframe ที่ต้องการวิเคราะห์ เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน
- มองหาจุด High/Low ที่สำคัญ เลือกจุดที่ราคามีการกลับตัวหลายครั้งหรือจุดที่มี Volumn ซื้อขายสูง
- ลากเส้นแนวรับแนวต้านในแนวนอน เชื่อมต่อจุด High/Low โดยเส้นบนคือแนวต้าน และเส้นล่างคือแนวรับ
2. การลากเส้น Trendline
- เลือก Timeframe ที่ต้องการวิเคราะห์ เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน
- ระบุแนวโน้มของราคา ดูภาพรวมของกราฟราคาว่ามีการเคลื่อนตัวขึ้นหรือลง
- ลาก Trendline สำหรับแนวรับให้หาจุดต่ำจุดสองจุดบนกราฟขึ้นไป ส่วนแนวต้านให้หาจุดสงสูงสุดสองจุดบนกราฟขึ้นไป
- ใช้ Trendline ประกอบการตัดสินใจ เมื่อราคาลงมาแตะเส้น Trendline หลายครั้ง มักจะเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเข้าซื้อ และเมื่อราคาขึ้นไปแตะเส้น Trendline หลายครั้ง จะเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการขาย
3. ใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น MA, Bollinger Bands
- Moving Average (MA) เป็นเครื่องมือที่ช่วยระบุแนวโน้มและระดับราคาที่สำคัญ โดยวิธีการหาแนวรับแนวต้านด้วย MA มีดังนี้
- เลือก Timeframe ที่ต้องการวิเคราะห์ เช่น 50 วัน หรือ 200 วัน
- ระบุแนวโน้มของราคา สังเกตว่าราคาว่าส่วนใหญ่มีการเคลื่อนไหวอยู่เหนือหรือใต้เส้น MA
- กำหนดบทบาทของเส้น ในแนวโน้มขาขาขึ้น เส้น MA คือแนวรับ ซึ่งเป็นจุดที่ราคาอาจลดลงมาทดสอบก่อนดีดกลับขึ้นไป และในแนวโน้มขาลง เส้น MA คือแนวต้าน ซึ่งเป็นจุดที่ราคาอาจปรับตัวขึ้นไปก่อนจะย่อตัวลง
- Bollinger Bands เป็นเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์ความผันผวนของตลาด และทำให้เทรดเดอร์ประเมินได้ว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงสะสมหรืออยู่ในแนวโน้มที่กำลังเกิดเทรนด์ โดยวิธีการหาแนวรับแนวต้านด้วย Bolling Bands มีดังนี้
- ระบุจุด Overbought และ Oversold เพื่อดูว่าราคาสินทรัพย์สูงหรือต่ำเกินไป
- หาสัญญาณกลับตัวของแนวโน้ม สังเกตการเคลื่อนที่ของราคาที่ออกนอกเส้นหรือเด้งกลับ
- ใช้เส้นเบี่ยงเบนเป็นแนวรับและแนวต้าน เส้นบนจะทำหน้าที่เป็นแนวต้าน และเส้นล่างจะทำหน้าที่เป็นแนวรับ
- วัดความผันผวนของตลาด การหดของเส้น (Contraction) แสดงถึงความผันผวนต่ำ และการขยายตัวของเส้น (Expansion) แสดงถึงความผันผวนสูง
เทคนิคการใช้งานแนวรับ แนวต้าน
เมื่อทราบกันแล้วว่าแนวรับแนวต้านดูยังไง ขั้นตอนต่อไปคือการนำไปปรับใช้กับกลยุทธ์การเทรดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ดังนี้
- การเทรดเมื่อราคาทะลุ (Breakout Trades) คือการเข้าซื้อขายเมื่อราคาทะลุแนวต้านหรือแนวรับ โดยสมมติฐานว่าระดับแนวรับและแนวต้านที่ถูกทำลายจะส่งผลให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
- การเทรดในช่วงกรอบราคา (Boundary Trades) คือการเข้าซื้อเมื่อราคาใกล้แนวรับและขายเมื่อราคาใกล้แนวต้าน เพื่อทำกำไรจากดีดตัวของราคาในกรอบของแนวรับแนวต้าน ช่วยให้สามารถเก็บทำกำไรได้เรื่อย ๆ
- การเทรดเมื่อเกิดการกลับตัว (Reversal Trades) คือการเข้าซื้อขายทันทีที่ระดับแนวรับหรือแนวต้านหยุดการเคลื่อนไหวของราคาทำให้เทรนด์ราคาเดิมกลับทิศทางและสร้างโอกาสทำกำไร
จุดแข็งและข้อจำกัดของแนวรับแนวต้าน
จุดแข็งของแนวรับแนวต้าน
- การกำหนดจุดเข้าและออก อิงจากระดับราคาบนกราฟทำให้นักลงทุนวางแผนการเทรดได้อย่างเป็นระบบ
- การบริหารความเสี่ยง เมื่อเข้าใจการเคลื่อนไหวของราคา แนวรับแนวต้านสามารถกำหนด Stop Loss ได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการขาดทุนได้
- ความเข้าใจง่าย แนวรับแนวต้านเป็นเครื่องมือที่เข้าใจง่าย สามารถเรียนรู้และนำไปใช้ได้กับการเทรดหลากหลายสินทรัพย์
ข้อจำกัดของแนวรับแนวต้าน
- การเกิด False Breakout ราคาอาจทะลุแนวรับหรือแนวต้านในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาดได้
- การใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น แนวรับแนวต้านไม่ควรใช้เป็นเครื่องมือเดียวในการเทรด ควรใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ เช่น Moving Average และ RSI
- ความไม่แน่นอน อาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดซึ่งส่งผลให้ระดับราคาที่คาดไว้ล้มเหลวและเกิดการเปลี่ยนทิศทางของราคา
ตัวอย่างการใช้แนวรับ แนวต้านจริง
ตัวอย่างกราฟหุ้น SET50
กราฟตัวอย่างของ SET50 มี Resistance ที่สำคัญอยู่บริเวณระดับ ~841.5 ซึ่งเป็นจุดที่มีราคาสูงสุดของกราฟและไม่สามารถผ่านไปได้จึงเกิดการหลุดลงมา ในส่วนของ Support แรกนั้นอยู่ที่ระดับ 838.7 แม้จะพยายามหน้าที่ประคองราคา แต่เมื่อถูกทดสอบหลายครั้งก็ทำให้ราคาปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีแนวรับใหม่อยู่บริเวณ 836 ที่เป็นแนวรับสำคัญระยะสั้น สะท้อนภาพรวมของกราฟ ณ ช่วงเวลาดังกล่าวของ SET50 ที่มีทิศทางขาลงในระยะสั้นอย่างชัดเจน
ตัวอย่างกราฟ Bitcoin
กราฟตัวอย่างของ Bitcoin มีราคาที่วิ่งขึ้นลงอยู่ในกรอบชัดเจน โดย Resistance อยู่ที่ ~116,100 ทำหน้าที่เป็นเพดานราคาที่แข็งแกร่ง สังเกตได้ว่าราคาวิ่งขึ้นไปที่โซนทดสอบนี้หลายครั้งแต่ก็ยังไม่สามารถทะลุผ่านไปได้ ทำให้เป็นจุดที่นักลงทุนส่วนใหญ่พร้อมใจกันขายเพื่อทำกำไร ขณะที่ Support หลักอยู่ที่ ~115,690 เปรียบได้กับพื้นราคา ที่มีการดีดตัวกลับขึ้นไปหลายครั้ง รวมถึงยังมี Minor Support แถว 115,800-115,850 ที่คอยประครองราคาในระยะสั้นด้วยเช่นกัน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแนวรับแนวต้าน
-
แนวรับแนวต้านใช้กับหุ้นหรือคริปโตได้ไหม
แนวรับ แนวร้านเป็น Indicator ที่สามารถใช้ได้ทั้งกับหุ้นและคริปโต เพราะทั้งสองตลาดมีการเคลื่อนไหวที่คล้ายกัน โดยใช้เพื่อวิเคราะห์หาจุดกลับตัวหรือจุดที่ราคามีโอกาสเปลี่ยนแปลงทิศทางได้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจะต้องระมัดระวังในการใช้งานและอาจต้องร่วมกับตัวชี้วัดอื่น ๆ เพื่อประกอบการซื้อขาย
-
ใช้แนวรับแนวต้านร่วมกับอินดิเคเตอร์อะไรดีที่สุด
ในการเทรด การใช้เพียงแนวรับแนวต้านอย่างเดียวอาจจะไม่พอ นักลงทุนควรใช้ Indicator อื่นร่วมด้วยเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์ โดยเครื่องมือที่นิยิมใช้ร่วมกัน ได้แก่ Moving Average ,RSI (Relative Strength Index), Bollinger Bands และ Volume
-
ทำไมแนวรับแนวต้านถึงหลุด
แนวรับ แนวต้านไม่ได้เป็นค่าคงที่ แต่จะเปลี่ยนแปลงตามพฤติกรรมของตลาดที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความไม่สมดุลของแรงซื้อ-แรงขาย, การสะสมของราคา, จิตวิทยาของตลาด, ผลประกอบการของบริษัท, ข่าวเศรษฐกิจ และเหตุการณ์ระดับโลก
-
มือใหม่ควรเริ่มฝึกหาจุดแนวรับแนวต้านอย่างไร
สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ การฝึกหาแนวรับ แนวต้านควรเริ่มจากการเลือก Timeframe ที่ชัดเจนเพื่ออ่านพฤติกรรมราคา จากนั้นดูกราฟย้อนหลังเพื่อหาช่วงราคาที่เคยเป็นจุดหยุดพักของแนวโน้ม ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวลงหรือปรับตัวขึ้น แล้วสังเกตต่อว่าเมื่อราคากลับมาระดับเดิมอีกครั้ง จะมีการหยุดหรือเปลี่ยนทิศทางเมื่อเข้าใกล้ระดับนั้นหรือไม่ หากฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เข้าใจและมองแนวรับแนวต้านได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
Conclusion
แนวรับแนวต้านถือเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยวิเคราะห์และวางแผนการเทรดที่นักลงทุนมือใหม่ทุกคนควรรู้ เพราะช่วยให้สามารถช่วยคาดการณ์การกลับตัวของตลาด รวมถึงระบุการเคลื่อยไหวหลักของตลาดได้ เทรดเดอร์ที่สามารถเข้าใจในแนวรับแนวต้านจะสามารถสร้างกลยุทธ์การเทรดที่มั่นคงและยั่งยืนได้มากยิ่งขึ้น
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด
อ้างอิง
Share this
- พฤศจิกายน 2025 (3)
- ตุลาคม 2025 (20)
- กันยายน 2025 (18)
- สิงหาคม 2025 (22)
- กรกฎาคม 2025 (37)
- มิถุนายน 2025 (33)
- พฤษภาคม 2025 (27)
- เมษายน 2025 (41)
- มีนาคม 2025 (22)
- กุมภาพันธ์ 2025 (33)
- มกราคม 2025 (9)
- ธันวาคม 2024 (10)
- พฤศจิกายน 2024 (8)
- ตุลาคม 2024 (9)
- กันยายน 2024 (9)
- สิงหาคม 2024 (15)
- กรกฎาคม 2024 (2)
- มิถุนายน 2024 (46)
Subscribe by email

ญี่ปุ่นหนุนออก Stablecoin เงินเยนดิจิทัลผ่าน 3 ธนาคารยักษ์ใหญ่

ภารกิจคู่สุดปัง! เช็คอินรายวัน & เทรดเหรียญรายเดือน รับสูงสุด 72 Freedom Shards (FDS)*

อินโดนีเซียจ่อออก Stablecoin แห่งชาติ ใช้พันธบัตรรัฐบาลหนุน

รัฐบาลจีนชะลอบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ออก Stablecoin

FOMO คืออะไร? ความหมาย สาเหตุ และผลกระทบต่อการลงทุนคริปโต

MapleStory NFT คืออะไร? เปิดโลกเกมออนไลน์สู่การลงทุนดิจิทัล

ATH คืออะไร? อธิบาย All Time High ที่นักลงทุนคริปโตควรรู้

Inflation คืออะไร? ทำความเข้าใจเงินเฟ้อและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

Indicator คืออะไร? แนะนำเครื่องมือวิเคราะห์กราฟที่นักลงทุนต้องรู้

