ปี 2025 ถือเป็นอีกหนึ่งปีสำคัญของตลาดคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ที่นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตามองอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจระดับมหภาค การเคลื่อนไหวของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ และการพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ก้าวล้ำขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหรียญดิจิทัลชั้นนำหลายรายการเริ่มแสดงศักยภาพในการเติบโตทั้งในแง่ของมูลค่าตลาด การนำไปใช้งานจริง และความเชื่อมั่นจากนักลงทุนรายใหญ่
บทความนี้จะช่วยอัปเดตอันดับเหรียญคริปโตที่มาแรงที่สุดในปี 2025 โดยอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ อาทิ CoinMarketCap, CoinGecko และการวิเคราะห์เชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญในวงการ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนสายเก็งกำไรระยะสั้น หรือผู้มองหาโอกาสการลงทุนระยะยาวในสินทรัพย์ดิจิทัล การเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อน และศักยภาพของเหรียญคริปโตชั้นนำ จะช่วยให้คุณวางแผนพอร์ตการลงทุนได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในปี 2025 นี้
Bitcoin ยังคงเป็นคริปโตอันดับหนึ่งทั้งในด้านมูลค่าตลาดและความน่าเชื่อถือ ด้วยจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญ ทำให้เกิดความขาดแคลนในเชิงโครงสร้าง ซึ่งช่วยหนุนราคาขึ้นเมื่อความต้องการเพิ่ม นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2009 Bitcoin ได้รับการยอมรับมากขึ้นจากทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้ BTC กลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ทางเลือกที่ถูกใช้กระจายความเสี่ยงในพอร์ตของนักลงทุนทั่วโลก
ในไตรมาสแรกของปี 2025 ราคาของ Bitcoin พุ่งขึ้นแตะระดับประมาณ 109,000 ดอลลาร์ต่อเหรียญ แม้จะมีการปรับฐานช่วงสั้น ๆ จากแรงซื้อขายและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แต่ล่าสุดราคาก็สามารถผ่านแนวต้าน 119,000–123,000 ดอลลาร์ได้สำเร็จ
แม้จะมีแรงเทขายขนาดใหญ่ เช่น การปล่อย 80,000 BTC มูลค่ากว่า 9 พันล้านดอลลาร์ออกสู่ตลาด แต่ระบบก็ยังรับมือได้โดยไม่มีความผันผวนรุนแรง ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งและสภาพคล่องของตลาดในปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน นักลงทุนสถาบันชื่อดังอย่าง Michael Saylor (MicroStrategy), JPMorgan และ Vanguard ก็เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับ Bitcoin มากขึ้น โดยบางรายเปิดให้ลูกค้าลงทุนใน BTC ได้โดยตรง ตัวอย่างที่น่าจับตาคือ JPMorgan ที่เคยตั้งท่าต่อต้าน Bitcoin กลับเปลี่ยนจุดยืนและเปิดรับสินทรัพย์ดิจิทัลนี้มากขึ้นสะท้อนถึงการยอมรับที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องในระดับโลก
จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญหลายสำนัก ปี 2025 อาจเป็นอีกปีทองของ Bitcoin โดยรายงานจาก Finder’s panel คาดว่า BTC อาจแตะระดับราว 145,000 ดอลลาร์ โดยในกรณีตลาดเป็นขาขึ้น (bull case) ราคาสามารถพุ่งสูงสุดได้ถึง 162,000 ดอลลาร์
ด้าน Bitwise ยังคงยืนยันเป้าหมายระยะกลางที่ 200,000 ดอลลาร์ ด้วยแรงหนุนจากการลงทุนของสถาบันการเงิน ขณะที่สำนักอื่นอย่าง VanEck และ Digital Coin Price ก็เสนอกรอบการคาดการณ์ที่กว้างขึ้น อยู่ที่ประมาณ 180,000–223,000 ดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับแรงผลักดันจากปัจจัยเศรษฐกิจและกระแสการยอมรับในวงกว้าง
Ethereum
ยังคงเป็นเครือข่ายหลักสำหรับแอปพลิเคชัน DeFi และเหรียญ Stablecoin โดยมีเกือบครึ่งหนึ่งของ stablecoin ทั้งหมดออกอยู่บนเครือข่ายนี้ ความต้องการใช้งานจึงยังสูงอย่างต่อเนื่อง
โดยการอัปเกรด Pectra ที่จะเกิดขึ้นในปี 2025 จะช่วยลดค่า gas และเพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่าย ทำให้การใช้งานถูกลงและเร็วขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีเงินลงทุนไหลเข้าจาก ETF แบบ spot และบริษัทมหาชน เช่น SharpLink Gaming และ BitMine Immersion ที่เริ่มสะสม ETH ไว้เป็นสินทรัพย์กระแสเงินสด (treasury) มูลค่ารวมหลายพันล้านดอลลาร์ ช่วยตอกย้ำบทบาทของ Ethereum ในฐานะสินทรัพย์ดิจิทัลระดับสากล
การวิเคราะห์จาก Fundstrat โดย Tom Lee คาดว่า ETH อาจพุ่งแตะ $10,000–15,000 ภายในปี 2025 โดยใช้โมเดลประเมินมูลค่าแบบบริษัทซอฟต์แวร์เป็นหลัก
ขณะที่ Brave New Coin ประเมินราคาอยู่ที่ประมาณ $4,800 ในสิ้นปีนี้ และอาจขึ้นไปถึง $5,500 หรือมากกว่าในปี 2026 หากมีแรงหนุนจาก ETF และการยอมรับจากสถาบันอย่างต่อเนื่อง
บางสำนักวิเคราะห์ในมุมมองเชิงบวกขั้นสุด (bullish extreme) ว่า ETH อาจแตะ $7,000–13,000 ภายในปลายปี 2025 หากตลาดยังสนับสนุนเต็มที่ โดยในปลายเดือนกรกฎาคม 2025 ราคายืนอยู่ที่ช่วง $3,600–3,800 และมี inflow จาก ETF เดือนเดียวกว่า $3.2 พันล้าน
หลังจากอัปเกรด The Merge ในปี 2022 Ethereum ได้เปลี่ยนมาใช้ Proof-of-Stake ลดการใช้พลังงานลงถึง 99% และผู้ถือ ETH ยังสามารถรับผลตอบแทนจากการ staking ราว 3% ต่อปี ขณะที่กรอบกฎหมายใหม่อย่าง GENIUS Act ของสหรัฐฯ ยิ่งช่วยหนุนการเติบโตของ staking และ stablecoin บนเครือข่ายนี้
เดือน มิ.ย. 2025 USDT ครองตลาด stablecoin มากกว่า 60–66% ของมูลค่าตลาด stablecoin ทั้งหมด มูลค่าตลาดอยู่ระหว่าง $143 – $154 พันล้าน โดย USDT มีปริมาณ trading volume ต่อวันสูงมาก ตัวเลขล่าสุดราว $137 พันล้าน และรักษาราคา peg ใกล้ $1 ได้อย่างมั่นคง
แม้จะเคยเผชิญคำวิจารณ์เรื่องความโปร่งใสในอดีต บริษัทได้พัฒนาความร่วมมือกับหน่วยงานตรวจสอบภายนอก และประชาสัมพันธ์ข้อมูลต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ Tether ยังวางแผนเปิดตัว stablecoin เวอร์ชันเฉพาะสหรัฐฯ ภายใต้กฎหมายนี้ ตั้งเป้าให้เป็น mainstream token สำหรับสถาบันการเงิน, ธนาคาร และ fintech อีกด้วย
Tether (USDT) ยังคงเป็น Stablecoin อันดับหนึ่งของโลก โดยครองส่วนแบ่งตลาดอย่างมั่นคงในฐานะสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกนำไปใช้มากที่สุดในการแลกเปลี่ยนและเป็นตัวกลางในการทำธุรกรรมคริปโตต่างๆ จุดเด่นของ USDT คือการตรึงมูลค่าไว้กับดอลลาร์สหรัฐ ทำให้มีเสถียรภาพและได้รับความไว้วางใจจากทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบันการเงิน
สิ่งที่ทำให้ Tether มาแรงในปี 2025 ไม่ได้มีเพียงแค่บทบาทในตลาดคริปโตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเติบโตของรายได้ และทิศทางการลงทุนที่หลากหลาย ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของบริษัทผู้ออกเหรียญในการขยายอิทธิพลสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ
ในปี 2024 Tether มีกำไรสุทธิสูงถึง $1.3 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 2 และมีรายได้รวมตลอดปีมากกว่า $13 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าสถาบันการเงินระดับโลกอย่าง Goldman Sachs
รายได้มหาศาลนี้ถูกนำไปต่อยอดการลงทุนในหลายอุตสาหกรรม อาทิ:
USDC คือหนึ่งใน Stablecoin ที่ได้รับความเชื่อมั่นและการยอมรับจากทั้งตลาดคริปโตและภาคการเงินดั้งเดิมมากที่สุดในโลก โดยถูกออกแบบให้มีมูลค่าคงที่ที่ ตรึงกับดอลลาร์สหรัฐในอัตรา 1:1 พร้อมการสำรองสินทรัพย์แบบเต็มจำนวน และรายงานตรวจสอบทรัพย์สินอย่างโปร่งใสโดยบริษัทตรวจสอบอิสระเป็นประจำทุกเดือน
USDC ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท Circle ซึ่งร่วมมือกับ Coinbase ในการพัฒนาและบริหารโครงการ Centre จนทำให้ USDC กลายเป็น Stablecoin ที่ใช้งานอย่างกว้างขวางในระบบนิเวศ DeFi, การชำระเงินดิจิทัล และธุรกรรมระหว่างประเทศ ด้วยมาตรฐานที่เน้น ความโปร่งใส การกำกับดูแล และการปฏิบัติตามกฎหมาย
ในปี 2024 USDC มีอุปทานหมุนเวียนอยู่ที่ ประมาณ $32 พันล้านดอลลาร์ และภายในต้นปี 2025 ปริมาณนี้เพิ่มขึ้นเป็น $60 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับ สูงสุดตลอดกาล (All-Time High)
ข้อมูลจากรายงาน State of the USDC Economy 2025 โดย Circle ระบุว่า:
การเติบโตนี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการใช้งาน Stablecoin ที่น่าเชื่อถือและโปร่งใส ทั้งในระบบคริปโตและในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะด้าน การชำระเงินข้ามพรมแดน (cross-border payments) และ การรวมเข้ากับธนาคารและระบบบัตรต่างๆเช่น Visa, Mastercard, MoneyGram เป็นต้น
ในปี 2024 บริษัท Circle สร้างรายได้จากดอกเบี้ยของสินทรัพย์สำรองที่ใช้ค้ำประกัน USDC ได้สูงถึง $1.7 พันล้านดอลลาร์พร้อมกำไรสุทธิราว $157 ล้านดอลลาร์
แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกอาจปรับตัวลดลงในอนาคต Circle ยังสามารถรักษารายได้ผ่านการ ขยายอุปทานและปริมาณการใช้งาน
จากรายงานของ CoinMetrics คาดว่า รายได้จากดอกเบี้ยสำรองของ USDC อาจเพิ่มขึ้นจาก $1.6 พันล้านในปี 2024 เป็นมากกว่า $9 พันล้านภายในปี 2029
Solana เป็นหนึ่งในบล็อกเชนที่เติบโตเร็วที่สุดในปี 2025 โดยมีจุดเด่นอยู่ที่เทคโนโลยี hybrid ที่ผสานระบบ Proof-of-Stake (PoS) เข้ากับ Proof-of-History (PoH) ทำให้เครือข่ายสามารถประมวลผลธุรกรรมได้มากกว่า 65,000 รายการต่อวินาที (TPS) ด้วยค่าธรรมเนียมเฉลี่ยเพียง ต่ำกว่า $0.002 ต่อรายการ นี่คือเหตุผลที่ Solana เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในโลก DeFi, NFT, และ Web3 dApps ที่ต้องการความเร็วและต้นทุนต่ำในระดับโลก
ในช่วงระหว่างปี 2023 ถึง 2025 มูลค่าทรัพย์สินที่ถูกล็อกไว้บนเครือข่าย Solana (TVL) เพิ่มขึ้นจากราว $300 ล้าน สู่ระดับ เกือบพันล้านดอลลาร์ สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดต่อการใช้งานจริงของเครือข่ายนี้ โดยแพลตฟอร์มชั้นนำอย่าง Magic Eden, Tensor, Raydium และ Orca ยังคงมีการใช้งานอย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญ Solana ยังได้รับความสนใจจากสถาบันการเงินระดับโลก เช่น HSBC, Bank of America, Euroclear, และ Monetary Authority of Singapore ผ่านความร่วมมือกับ R3 เพื่อพัฒนาโซลูชัน tokenization สำหรับตราสารทางการเงิน เช่น หุ้นและพันธบัตร โดยใช้โครงสร้างของ Solana เป็นฐาน
ด้านการพัฒนา Solana กลายเป็นบ้านใหม่ของนักพัฒนาจำนวนมาก โดยในปี 2024 มี นักพัฒนารายใหม่กว่า 7,625 คนเข้าร่วม ซึ่งมากกว่า Ethereum ตามข้อมูลจาก Electric Capital Developer Report 2024
นักวิเคราะห์จากหลากหลายสำนักให้ภาพรวมเชิงบวกต่อ SOL:
ภาพรวมแสดงให้เห็นว่า Solana ยังคงเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่มีอนาคตสดใส หากกระแสการใช้งานและการยอมรับจากสถาบันยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง
BNB เป็นเหรียญ utility token สำหรับ Binance Exchange และ BNB Chain ที่ช่วยลดค่าธรรมเนียมการเทรดและใช้ภายในระบบนิเวศของ Binance ล่าสุดราคาทะลุ All-Time High หลายรอบ เช่น แตะ $827.25–851.48 และปริมาณ DEX trading volume ที่สูงถึงหลายพันล้านต่อวัน
ซึ่งเครือข่าย BNB Chain มีการผ่านการอัปเกรด เช่น Maxwell hard fork ทำให้รองรับธุรกรรมได้ถึง 20,000 TPS และมีโครงการ token burn เพิ่มความเชื่อมั่นในมูลค่าระยะยาว
นอกจากนี้ยังมีผู้ใช้งาน BNB addresses ใหม่มากกว่า 180,000 รายในหนึ่งวัน แสดงถึงความสนใจต่อเหรียญที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
นักวิเคราะห์หลายสำนักยังคงมองบวกต่อแนวโน้มของ BNB โดย CoinCodex และ InvestingHaven ประเมินว่าราคาของ BNB ตลอดปี 2025 จะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงประมาณ $740–1,184 โดยมีราคาเฉลี่ยที่ราว ๆ $790–948 ต่อเหรียญ ขณะที่ Benzinga มองว่า BNB อาจแตะระดับ $1,090 และบางการคาดการณ์ชี้ไปไกลถึง $1,478 หากกระแสตลาดเอื้ออำนวย
แพลตฟอร์ม Bitget ก็แสดงมุมมองที่ค่อนข้างระมัดระวัง โดยประเมินว่าราคาปลายปี 2025 จะอยู่ราว $821–822 และมีโอกาสแตะ $1,049 ได้ในระยะยาวภายในปี 2030 หากระบบนิเวศของ BNB ยังคงขยายตัวอย่างมั่นคง
Cardano (ADA) แพลตฟอร์มบล็อกเชนแบบ Proof-of-Stake ที่โดดเด่นด้วยแนวคิดด้านความเสริมความปลอดภัยและความยั่งยืน ทำให้ได้รับความสนใจจากนักพัฒนาและองค์กรธุรกิจระดับโลก ภายในปี 2025 เครือข่ายมีโปรเจกต์ที่กำลังพัฒนาอยู่กว่า 2,000 รายการ และระบบนิเวศ DeFi มี TVL เกิน 700 ล้านดอลลาร์ โดยให้บริการธุรกรรมมากกว่า 100 ล้านรายการ
Cardano ถูกหยิบยกเข้าร่วมในแผน “Crypto Strategic Reserve” ของสหรัฐฯ ร่วมกับ Bitcoin, Ethereum, Solana และ XRP ซึ่งช่วยเสริมความเชื่อมั่นทางสถาบัน
นอกจากนี้ Cardano มุ่งเน้นพัฒนาระบบ scalability ผ่านเทคโนโลยี Layer 2 เช่น Hydra ซึ่งช่วยรองรับ DeFi และปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้น โดยกำลังอยู่ในระหว่าง roadmap ปี 2025–2026
นักวิเคราะห์จากแหล่งข้อมูลต่างประเทศประเมินแนวโน้มราคา ADA ในทิศทางที่หลากหลาย โดย CoinCodex คาดว่าราคา ADA จะเคลื่อนไหวในช่วงประมาณ $0.45–1.36 ตลอดปี 2025 ขณะที่ Changelly ระบุเป้าหมายราคาปลายปีไว้ที่ $1.14
ส่วน Coinpedia ให้กรอบกว้างกว่าที่ $0.75–2.35 โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ราว $1.50 หาก Cardano สามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและดึงดูดนักพัฒนาเข้าสู่ระบบนิเวศได้อย่างต่อเนื่อง นักวิเคราะห์จาก AMBCrypto ก็เชื่อว่า ADA อาจแตะ $1.22 ได้ภายในสิ้นปี หากแนวโน้มตลาดคริปโตโดยรวมยังเป็นขาขึ้นและมีแรงสนับสนุนจากการใช้งานจริงที่เพิ่มขึ้นในเครือข่าย Cardano
Dogecoin (DOGE) เกิดขึ้นจาก meme ร่วมปี 2013 โดย Billy Markus และ Jackson Palmer สร้างขึ้นด้วยแนวคิดขำขัน แต่เติบโตขึ้นจนเป็นหนึ่งในเหรียญ meme ที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยมูลค่าตลาดสูงสุดถึง 40–60 พันล้านดอลลาร์ มีทั้งชุมชนผู้ใช้งานแข็งแกร่ง และได้รับการยอมรับให้ใช้จ่ายในบางแพลตฟอร์ม เช่น AMC และ Tesla merchandise
Dogecoin มีโครงสร้างระบบ PoW ที่ใช้พลังงานต่ำและค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมต่ำมาก — โดยเฉลี่ยประมาณ $0.0014 ต่อธุรกรรม และใช้เวลาสร้างบล็อกเพียง 1 นาที ซึ่งความง่ายในการใช้งานร่วมกับภาพลักษณ์ meme ทำให้ DOGE เหมาะกับการใช้แทนเงินขนาดเล็กหรือในหลายกิจกรรมชุมชนดิจิทัล อีกทั้งยังมีความเชื่อมโยงกับผู้มีอิทธิพลในวงการ เช่น Elon Musk ซึ่งยังคงให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
และเมื่อเร็ว ๆ นี้ Grayscale Investments เปิดตัวกองทุน Dogecoin Trust เพื่อให้นักลงทุนเข้าถึง DOGE โดยตรง ถือเป็นสัญญาณว่าการยอมรับจากสถาบันไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
ในภาพรวม นักวิเคราะห์ยังคงเห็นศักยภาพของ DOGE ว่ามีโอกาสเติบโตได้ต่อ หากได้รับแรงหนุนจากกระแสตลาดคริปโตหรือกระแสโซเชียล Changelly และ YouHodler คาดว่าราคา DOGE ในปี 2025 จะเคลื่อนไหวในช่วงประมาณ $0.283 – 0.631 โดยมีราคาเฉลี่ยราว $0.25 ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่และกระแสของ ETF ที่เกี่ยวข้องกับคริปโต
ด้าน CoinCodex มองว่าราคาอาจแตะ $0.2596 ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2025 และหากแนวโน้มยังดีต่อเนื่อง มีโอกาสขึ้นไปถึง $0.30–0.35 ได้ ขณะที่ Binance Consensus และ Kraken คาดว่าราคาเฉลี่ยของ DOGE ปลายปีจะอยู่ในช่วง $0.22–0.28 ส่วนในระยะยาวไปถึงปี 2030 อาจเห็นระดับราว $0.28–0.36
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์อย่าง Crypto Kaleo เชื่อว่า DOGE อาจไปไกลถึง $6.94 ได้ หากเกิด bull run ใหญ่ตาม Bitcoin และได้รับแรงซื้อจากนักลงทุนรายใหญ่ แต่ก็มองว่าเป็นความเห็นที่ค่อนข้างสุดโต่ง
TRON (TRX) คือเหรียญดิจิทัลประจำเครือข่าย TRON blockchain ชั้น 1 ที่ออกแบบเพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศ DeFi, NFT และแอป blockchain ต่างๆ ด้วยความสามารถในการประมวลผลธุรกรรมรวดเร็วต้นทุนต่ำ ระบบสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นมิตรกับนักพัฒนาและผู้สูงวัยในวงการ crypto ทั้งยังรองรับการใช้งาน stablecoin ขนาดใหญ่ เช่น USDT
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 เครือข่าย TRON กลายเป็นผู้นำในการออกเหรียญ USDT โดยมีการสร้างเหรียญใหม่ (Mint) สูงถึง 22 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ปริมาณ USDT บน TRON รวมทั้งหมดสูงกว่า 80 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าเครือข่ายบล็อกเชนอื่น ๆ รวมถึง Ethereum ด้วย
ระบบนิเวศ DeFi ของ TRON ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกล็อก (TVL) เพิ่มขึ้นจากหลักร้อยล้านเป็นกว่า 9 พันล้านดอลลาร์ และแพลตฟอร์ม JustLend ยังมีปริมาณเงินฝากเพิ่มขึ้นถึง 300% ในปีนี้
นอกจากนี้ TRON ยังมีโครงการระดับสถาบันใหญ่ ๆ เช่น TRON DAO Ecosystem Fund ที่จัดสรรงบประมาณกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแอปพลิเคชันและนวัตกรรมบนเครือข่าย และกำลังเตรียมตัวเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผ่านการควบรวมกับบริษัท SRM Entertainment ที่จดทะเบียนใน Nasdaq ซึ่งช่วยดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่ให้สนใจ TRX มากขึ้นด้วย
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ราคา TRX น่าจะเคลื่อนไหวในช่วง $0.25–0.30 โดยราคาเฉลี่ยตลอดปีประมาณ $0.34–0.35
โดย Changelly ระบุช่วงกว้างสุดคือ $0.252–0.300 ขณะที่ CoinSpeaker และ Crypto‑Economy วิเคราะห์ไว้ว่า TRX อาจแตะระดับ $0.28–0.37 หาก ecosystem DeFi และ stablecoin ยังคงขยายตัว ในขณะที่ Bankless Times ตั้งเป้าราคาในแง่บวกว่าอาจพุ่งถึง $0.36–0.45 หากแรงซื้อและ momentum ยังชัดเจน
Bitget ยังเสนอมุมมองว่าช่วงสิ้นปี 2025 ราคา TRX จะแตะ $0.3456 และอาจไปถึง $0.4278 ในต้นปี 2026 หากมี adoption ต่อเนื่อง
Polkadot (DOT) คือแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่เน้นการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายต่าง ๆ ให้สามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างราบรื่น โดยใช้เทคโนโลยี “Parachains” ซึ่งช่วยขยายศักยภาพของบล็อกเชนแบบกระจายอำนาจ นอกจากนี้ Polkadot ยังได้รับความนิยมในกลุ่มนักพัฒนา dApps และโปรเจกต์ DeFi เพราะสามารถปรับขนาดระบบและลดปัญหาคอขวด (bottleneck) ได้ดี
ในปี 2025 Polkadot ยังคงพัฒนาและขยายระบบนิเวศอย่างต่อเนื่อง โดยมี parachains ที่เปิดใช้งานมากขึ้น และโปรเจกต์หลายรายที่ใช้ DOT ในการสนับสนุนการทำงานของแอป นอกจากนี้ Polkadot มีการนำเสนอฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความรวดเร็วในเครือข่าย
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า Polkadot จะมีแนวโน้มเติบโตดีในปี 2025 โดย CoinCodex และ WalletInvestor คาดว่า DOT จะเคลื่อนไหวในช่วงประมาณ $6.50 ถึง $11 โดยราคาเฉลี่ยปีละอยู่ที่ประมาณ $8–9
ความต้องการ DOT นอกจากใช้ในการ stake เพื่อรักษาความปลอดภัยเครือข่ายแล้ว ยังเพิ่มขึ้นในวงการ DeFi และ NFT ที่เติบโตบนระบบ Polkadot ทำให้ราคา DOT มีโอกาสปรับตัวขึ้นตามการขยายตัวของระบบนิเวศ
Virtual Protocol (VIRTUAL) คือโปรเจกต์คริปโตที่มุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยี Virtual Asset Layer เพื่อเชื่อมโลกเสมือนและบล็อกเชนเข้าด้วยกัน สนับสนุนการสร้างแอปพลิเคชันแบบ DeFi, NFT, และ Metaverse โดยมีจุดเด่นที่การออกแบบโปรโตคอลให้มีความปลอดภัยและสามารถรองรับธุรกรรมจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Virtual Protocol มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลัง โดยชูจุดเด่นเรื่องการนำเสนอเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด Metaverse ที่กำลังขยายตัวสูงในปี 2025 รวมถึงการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์สำคัญในอุตสาหกรรมบล็อกเชน
ราคาของ VIRTUAL ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและมีความผันผวนสูง แต่หลายแพลตฟอร์มวิเคราะห์คริปโตและเว็บไซต์ชั้นนำให้ภาพรวมที่เป็นบวกสำหรับปี 2025 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโปรโตคอลได้รับการยอมรับและนำไปใช้จริงในระบบนิเวศ Metaverse และ NFT ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
ในปี 2025 ตลาดคริปโตยังคงเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทายสำหรับนักลงทุน เหรียญชั้นนำอย่าง Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH), และ Stablecoins อย่าง USDT กับ USDC ยังคงแสดงศักยภาพและบทบาทสำคัญในระบบนิเวศคริปโต ขณะที่เหรียญแพลตฟอร์มอย่าง Solana (SOL), Binance Coin (BNB), Cardano (ADA) และ Polkadot (DOT) ต่างก็พัฒนาเทคโนโลยีและขยายระบบนิเวศอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการเติบโตของแอปพลิเคชัน DeFi และ NFT
เหรียญ meme และเหรียญที่มีชุมชนเข้มแข็ง เช่น Dogecoin (DOGE) ยังคงสร้างความสนใจ ด้วยโอกาสเติบโตจากการสนับสนุนของผู้มีอิทธิพลและกระแสตลาด ในขณะที่ TRON (TRX) และ Virtual Protocol (VIRTUAL) เน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีเฉพาะทาง และการขยายตัวในตลาด Metaverse และ DeFi
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบ เพราะตลาดคริปโตมีความผันผวนสูง การลงทุนในเหรียญต่าง ๆ ควรพิจารณาความเสี่ยงและความเหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของตนเองอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถใช้โอกาสในตลาดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด