Bitazza Thailand Blog

โปรโตคอล คืออะไร? เปิดโลกโครงสร้างพื้นฐานที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยีดิจิทัล

เขียนโดย Bitazza Team - 23 เม.ย. 2025, 9:31:50

 

ปัจจุบันเทคโนโลยีและการสื่อสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์มีบทบาทสำคัญมากในชีวิตประจำวัน ซึ่งการสื่อสารระหว่างระบบคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องมีความถูกต้อง ความแม่นยำ และน่าเชื่อถือ โดยการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์เหล่านี้มีตัวช่วยที่เรียกว่า โปรโตคอล เป็นภาษาที่ใช้สื่อสารระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ทำให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้

 

โปรโตคอล คืออะไร?

โปรโตคอลหรือ Protocol คือ มาตรฐานหรือกฎเกณฑ์ที่ใช้กำหนดวิธีการทำงานในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์หรือระบบต่าง ๆ เปรียบเสมือนภาษากลางที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ การที่คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะติดต่อสื่อสารกันได้ต้องมีโปรโตคอล เพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารกันเข้าใจ ทั้งเรื่องของการรับส่งข้อมูล วิธีการตรวจสอบข้อมูล ข้อผิดพลาดต่าง ๆ การแสดงผลของข้อมูล โปรโตคอลจึงมีความสำคัญมากสำหรับการสื่อสารของเครือข่าย หากไม่มีโปรโตคอลแล้วคอมพิวเตอร์ก็จะไม่สามารถสื่อสารกันได้

โปรโตคอลทำงานอย่างไร

วิธีการทำงานของโปรโตคอล มีวิธีการและขั้นตอน ดังนี้

  1. การกำหนดรูปแบบข้อมูล: โปรโตคอลจะกำหนดรูปแบบของข้อมูลที่สามารถส่งผ่านได้ เช่น ข้อมูลในรูปแบบข้อความ (Text) หรือข้อมูลในรูปแบบไบนารี (Binary) โดยมีการระบุว่าแต่ละส่วนของข้อมูลควรมีลักษณะอย่างไร
  2. การตรวจสอบข้อผิดพลาด: โปรโตคอลมักมีการตรวจสอบข้อผิดพลาด (Error Checking) เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ส่งมาไม่ผิดพลาดหรือสูญหาย เช่น การใช้ Checksum หรือ CRC (Cyclic Redundancy Check) เพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูล
  3. การควบคุมการไหลของข้อมูล: โปรโตคอลบางตัวจะมีการควบคุมการส่งข้อมูลในลักษณะ "การไหลของข้อมูล" (Flow Control) เพื่อไม่ให้ข้อมูลถูกส่งมามากเกินไปในเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจทำให้ระบบหรือเครือข่ายเกิดการหน่วงหรือสูญหาย
  4. การกำหนดวิธีการเริ่มต้นและยุติการเชื่อมต่อ: โปรโตคอลจะกำหนดขั้นตอนในการเชื่อมต่อและตัดการเชื่อมต่อ เช่น ในโปรโตคอล TCP/IP การเริ่มต้นเชื่อมต่อจะใช้กระบวนการ Three-Way Handshake เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ทั้งสองฝ่ายสามารถรับข้อมูลได้
  5. การรักษาความปลอดภัย: บางโปรโตคอลยังมีการเข้ารหัสข้อมูลหรือการพิสูจน์ตัวตน เพื่อให้ข้อมูลที่ส่งไปถึงไม่ถูกดักจับหรือถูกแก้ไขโดยบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต

โปรโตคอลจะทำงานโดยการกำหนดวิธีการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์หรือระบบต่าง ๆ โดยให้ความสำคัญกับการส่งข้อมูลอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพตามกฎที่กำหนดไว้

 

 

ประเภทของโปรโตคอล

โปรโตคอลสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทซึ่งแต่ละประเภทมีการใช้งานและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันโดยสามารถแบ่งได้เป็นประเภทหลัก ๆ ดังนี้

  • โปรโตคอลเครือข่าย (Network Protocols)

โปรโตคอลเครือข่ายคือชุดของกฎหรือข้อกำหนดที่ใช้ในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น คอมพิวเตอร์, เซิร์ฟเวอร์, เราเตอร์, สวิตช์ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่เชื่อมต่อในเครือข่าย โปรโตคอลเหล่านี้ทำให้การส่งข้อมูลจากอุปกรณ์หนึ่งไปยังอุปกรณ์อื่นสามารถทำได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ โดยการกำหนดขั้นตอนต่าง ๆ ที่จำเป็นในการจัดการข้อมูลตั้งแต่การส่งข้อมูลจนถึงการรับข้อมูลโปรโตคอลที่ใช้ในการจัดการการสื่อสารและการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในเครือข่าย ได้แก่

    • Ethernet: ใช้ในเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ในระยะใกล้ โดยใช้สายเคเบิลเพื่อส่งข้อมูล
    • IP (Internet Protocol): ใช้ในการกำหนดที่อยู่และเส้นทางในการส่งข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยแบ่งเป็น IPv4 และ IPv6
    • ARP (Address Resolution Protocol): ใช้ในการแปลงที่อยู่ IP เป็นที่อยู่ MAC ในเครือข่ายท้องถิ่น (LAN)
    • ICMP (Internet Control Message Protocol): ใช้ในการตรวจสอบการเชื่อมต่อและส่งข้อความควบคุม เช่น การส่งคำขอ Ping เพื่อตรวจสอบสถานะการเชื่อมต่อ
    • DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol): ใช้ในการมอบหมายที่อยู่ IP ให้กับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเครือข่ายอัตโนมัติ
  • โปรโตคอลอินเทอร์เน็ต (Internet Protocols)

โปรโตคอลอินเทอร์เน็ตคือ ชุดของกฎและข้อกำหนดที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โปรโตคอลเหล่านี้ทำให้ข้อมูลสามารถเดินทางจากแหล่งหนึ่งไปยังปลายทางได้อย่างถูกต้อง และช่วยในการระบุที่อยู่ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อในอินเทอร์เน็ต เช่น การส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง หรือจากเซิร์ฟเวอร์ไปยังผู้ใช้ โปรโตคอลอินเทอร์เน็ตมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละโปรโตคอลจะมีบทบาทที่สำคัญในการส่งข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ตัวอย่างเช่น

    • HTTP (Hypertext Transfer Protocol): ใช้ในการส่งข้อมูลระหว่างเว็บเซิร์ฟเวอร์และเว็บเบราว์เซอร์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเรียกดูเว็บไซต์
    • HTTPS (Hypertext Transfer Protocol Secure): เวอร์ชันที่ปลอดภัยของ HTTP โดยใช้การเข้ารหัส SSL/TLS เพื่อปกป้องข้อมูลที่ส่งระหว่างเว็บเบราว์เซอร์และเว็บเซิร์ฟเวอร์
    • FTP (File Transfer Protocol): ใช้ในการถ่ายโอนไฟล์ระหว่างคอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์
    • SMTP (Simple Mail Transfer Protocol): ใช้ในการส่งอีเมลจากเครื่องหนึ่งไปยังเครื่องอื่น
    • POP3 (Post Office Protocol 3) และ IMAP (Internet Message Access Protocol): ใช้ในการดึงอีเมลจากเซิร์ฟเวอร์ไปยังเครื่องของผู้ใช้
    • DNS (Domain Name System): ใช้ในการแปลงชื่อโดเมน (เช่น www.example.com) เป็นที่อยู่ IP ของเซิร์ฟเวอร์
  • โปรโตคอลการสื่อสารไร้สาย (Wireless Protocols)

โปรโตคอลการสื่อสารไร้สาย (Wireless Protocols) คือ ชุดของกฎและมาตรฐานที่กำหนดวิธีการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านการเชื่อมต่อแบบไร้สาย โดยไม่ต้องใช้สายเชื่อมต่อทางกายภาพ เช่น การใช้คลื่นวิทยุ หรือคลื่นไมโครเวฟในการส่งข้อมูล โปรโตคอลเหล่านี้ทำให้การสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ในเครือข่ายไร้สายสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

โปรโตคอลการสื่อสารไร้สายมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน เช่น การเชื่อมต่อภายในบ้าน, การเชื่อมต่อในองค์กร, หรือการใช้งานในระบบ IoT (Internet of Things)

    • Wi-Fi (IEEE 802.11):ใช้ในการสื่อสารในเครือข่ายท้องถิ่นแบบไร้สาย (WLAN) โดยใช้คลื่นวิทยุในการส่งข้อมูล
    • Bluetooth: ใช้ในการสื่อสารระยะใกล้ระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น สมาร์ทโฟน, หูฟัง, คีย์บอร์ด
    • Zigbee: ใช้ในระบบ IoT (Internet of Things) เช่น สมาร์ทโฮม หรืออุปกรณ์ที่ใช้พลังงานต่ำ โดยมักใช้ในเครือข่ายที่มีอุปกรณ์หลายตัวเชื่อมต่อกัน
    • NFC (Near Field Communication):ใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระยะใกล้ เช่น การจ่ายเงินผ่านสมาร์ทโฟนหรือบัตรเครดิตไร้สัมผัส
    • LoRaWAN (Long Range Wide Area Network): ใช้ในการสื่อสารระยะไกลสำหรับ IoT ที่ต้องการการเชื่อมต่อในระยะทางไกลและประหยัดพลังงาน
  • โปรโตคอลด้านความปลอดภัย (Security Protocols)

โปรโตคอลด้านความปลอดภัย คือชุดของกฎและมาตรฐานที่ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องข้อมูลและการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ จากภัยคุกคามและการโจมตีในเครือข่าย โปรโตคอลเหล่านี้มีบทบาทในการเข้ารหัสข้อมูล การยืนยันตัวตน และการรักษาความปลอดภัยในระหว่างการส่งข้อมูล เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลจะไม่ถูกขโมย ดัดแปลง หรือเปิดเผยโดยไม่ได้รับอนุญาตโปรโตคอลที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องข้อมูลจากการถูกโจมตีและทำให้การสื่อสารมีความปลอดภัยมากขึ้น โปรโตคอลด้านความปลอดภัยช่วยสร้างความมั่นใจในการสื่อสารผ่านเครือข่าย เช่น การเข้ารหัสข้อมูลในระบบการชำระเงินออนไลน์, การรับรองความถูกต้องของผู้ใช้ในบริการออนไลน์, หรือการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในอีเมล

    • SSL/TLS (Secure Sockets Layer / Transport Layer Security): ใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งระหว่างเว็บเบราว์เซอร์และเว็บเซิร์ฟเวอร์เพื่อให้ข้อมูลปลอดภัยจากการดักฟัง
    • IPsec (Internet Protocol Security): ใช้ในการเข้ารหัสและยืนยันความถูกต้องของข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่าย IP
    • SSH (Secure Shell): ใช้ในการเชื่อมต่อระยะไกลอย่างปลอดภัยเพื่อเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์หรือคอมพิวเตอร์ผ่านช่องทางคอมมานด์ไลน์
    • VPN (Virtual Private Network):ใช้ในการสร้างเครือข่ายส่วนตัวเสมือนบนอินเทอร์เน็ต เพื่อให้การสื่อสารระหว่างเครื่องลูกข่ายและเซิร์ฟเวอร์ปลอดภัยจากการดักจับข้อมูล
    • S/MIME (Secure/Multipurpose Internet Mail Extensions): ใช้ในการเข้ารหัสและลงลายมือชื่อดิจิทัลในการส่งอีเมลเพื่อความปลอดภัยในการสื่อสารทางอีเมล
    • Kerberos:ใช้ในการพิสูจน์ตัวตน (Authentication) ในการเข้าถึงบริการที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น ระบบเครือข่ายองค์กร

 

ตัวอย่างการใช้งานโปรโตคอลในชีวิตประจำวัน

โปรโตคอลมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารและการทำงานของระบบต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน แม้ว่าหลายคนอาจจะไม่รู้สึกถึงการทำงานของโปรโตคอล แต่ทุกครั้งที่เราใช้งานอินเทอร์เน็ตหรือเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ จะมีโปรโตคอลเป็นส่วนสำคัญในการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น 

  • การเข้าเว็บไซต์

เมื่อเปิดเว็บเบราว์เซอร์และพิมพ์ที่อยู่เว็บไซต์ โปรโตคอล HTTPS (Hypertext Transfer Protocol Secure) จะทำการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่เก็บข้อมูลของเว็บไซต์นั้นโปรโตคอล HTTPS ใช้การเข้ารหัสข้อมูลระหว่างเว็บเบราว์เซอร์และเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่สามารถดักจับหรือดัดแปลงข้อมูลที่ส่งระหว่างการเชื่อมต่อได้ เช่น ข้อมูลการเข้าสู่ระบบหรือข้อมูลการทำธุรกรรมออนไลน์

  • การส่งอีเมล

เมื่อส่งอีเมลจากแอปพลิเคชันอีเมล (เช่น Gmail, Outlook) โดยใช้ SMTP (Simple Mail Transfer Protocol) ข้อมูลอีเมลจะถูกส่งจากแอปพลิเคชันของไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการอีเมล เมื่อผู้รับเช็คอีเมลจากเซิร์ฟเวอร์อาจใช้โปรโตคอล IMAP (Internet Message Access Protocol) หรือ POP3 (Post Office Protocol) ในการดึงข้อมูลอีเมลจากเซิร์ฟเวอร์ไปยังอุปกรณ์ของผู้ใช้ IMAP ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงอีเมลจากอุปกรณ์ต่าง ๆ และเก็บอีเมลไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ ในขณะที่ POP3 จะดาวน์โหลดอีเมลลงมาที่อุปกรณ์และลบจากเซิร์ฟเวอร์

  • การชำระเงินออนไลน์

เมื่อทำการชำระเงินออนไลน์ เช่น การซื้อสินค้าในร้านค้าออนไลน์ โปรโตคอล TLS (Transport Layer Security) หรือ SSL (Secure Sockets Layer) จะช่วยเข้ารหัสข้อมูลการชำระเงิน เช่น หมายเลขบัตรเครดิต หรือข้อมูลส่วนตัว การเข้ารหัสนี้ทำให้ข้อมูลปลอดภัยและไม่สามารถถูกดักจับหรือโจมตีได้ระหว่างการส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้ขาย

  • การเชื่อมต่อ Wi-Fi

หากใช้ VPN (Virtual Private Network) เพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่ายส่วนตัวในระยะไกล โปรโตคอล IPsec (Internet Protocol Security) หรือ OpenVPN จะถูกใช้ในการเข้ารหัสการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ของคุณและเซิร์ฟเวอร์ VPN การเข้ารหัสนี้ช่วยให้การเชื่อมต่อของคุณปลอดภัยจากการดักจับข้อมูล และปกป้องความเป็นส่วนตัวเมื่อใช้งานเครือข่ายสาธารณะ เช่น Wi-Fi ในร้านกาแฟ

  • การส่งข้อความ

เมื่อส่งข้อความผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น SMS, iMessage, หรือ WhatsApp, ข้อความจะถูกส่งผ่านโปรโตคอลต่าง ๆ เช่น SMS protocol สำหรับการส่งข้อความบนเครือข่ายมือถือ หรือ end-to-end encryption สำหรับแอปพลิเคชันที่ใช้การเข้ารหัสข้อความระหว่างผู้ส่งและผู้รับ โปรโตคอลเหล่านี้ช่วยให้การสื่อสารมีความปลอดภัยจากการดักฟังจากบุคคลภายนอก

  • การเชื่อมต่อ Bluetooth 

เมื่อเชื่อมต่อหูฟังไร้สายกับสมาร์ทโฟน หรือเชื่อมต่อคีย์บอร์ดกับคอมพิวเตอร์ โปรโตคอล Bluetooth จะช่วยให้การเชื่อมต่อและการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ทำงานได้ Bluetooth ใช้การเชื่อมต่อแบบระยะใกล้และการเข้ารหัสข้อมูลระหว่างอุปกรณ์เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

  • การเข้าถึงบริการ Google หรือ Facebook

เมื่อล็อกอินเข้าสู่บริการต่าง ๆ เช่น Google หรือ Facebook ด้วยการใช้บัญชีที่มีอยู่แล้ว โปรโตคอล OAuth จะทำหน้าที่อนุญาตให้แอปพลิเคชันบุคคลที่สามเข้าถึงข้อมูลจากบัญชีของคุณ โดยไม่ต้องการให้คุณเปิดเผยรหัสผ่าน OAuth ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการใช้บริการออนไลน์

 

โปรโตคอลในเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโต

โปรโตคอลในเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตคือชุดของกฎหรือข้อกำหนดที่กำหนดวิธีการทำงานของเครือข่ายบล็อกเชนและการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ในระบบ เช่น การยืนยันธุรกรรม การสร้างบล็อกใหม่ หรือการจัดการกับค่าสกุลเงินดิจิทัล ตัวอย่างของโปรโตคอลในเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโต ได้แก่

1. Proof of Work (PoW)

เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการยืนยันและเพิ่มบล็อกใหม่ลงในบล็อกเชน เช่นในบิทคอยน์ (Bitcoin) โดยผู้ขุด (Miners) ต้องแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เพื่อยืนยันธุรกรรมและสร้างบล็อกใหม่


2. Proof of Stake (PoS)

ใช้ในการยืนยันธุรกรรมและเพิ่มบล็อกใหม่บนบล็อกเชน ซึ่งไม่ต้องการการขุดเหมือนใน PoW แต่ใช้การเลือกผู้ที่จะได้สร้างบล็อกใหม่ตามจำนวนเหรียญที่ถืออยู่ (stake) เช่นใน Ethereum 2.0


3. Delegated Proof of Stake (DPoS)

เป็นการพัฒนาจาก PoS โดยให้ผู้ถือเหรียญเลือกตัวแทน (delegate) เพื่อทำการยืนยันธุรกรรมและสร้างบล็อกใหม่ การทำงานเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่นในบล็อกเชนของ EOS


4. Practical Byzantine Fault Tolerance (PBFT)

เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในระบบที่ต้องการความทนทานต่อข้อผิดพลาดและการโจมตีจากผู้ใช้ที่มีพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์ โดยจะตรวจสอบและยืนยันธุรกรรมจากหลายผู้ใช้ก่อนที่จะเพิ่มบล็อกใหม่


5. Zero-Knowledge Proofs (ZKP)

ใช้ในการพิสูจน์ข้อมูลบางอย่างโดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลนั้นๆ ซึ่งเป็นเทคนิคที่สำคัญในคริปโตที่เน้นความเป็นส่วนตัว เช่นใน Zcash ที่ใช้เทคนิคนี้ในการทำธุรกรรมที่เป็นส่วนตัว


6. Lightning Network

เป็นโปรโตคอลที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเพิ่มความเร็วและลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมบนบล็อกเชนของบิตคอยน์ โดยการใช้ช่องทางการชำระเงินระหว่างผู้ใช้งานที่สามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ต้องบันทึกทุกธุรกรรมลงในบล็อกเชนหลัก


โปรโตคอลเหล่านี้ช่วยกำหนดรูปแบบการทำงานของเครือข่ายบล็อกเชนแต่ละประเภทและส่งผลต่อประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และการใช้งานของเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตทั้งหมด

 

 

ข้อดีและข้อจำกัดของโปรโตคอล

โปรโตคอลแต่ละประเภทในเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป การเลือกใช้โปรโตคอลขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและวัตถุประสงค์ของระบบบล็อกเชนที่ต้องการ เช่น ความปลอดภัย ความเร็วในการทำธุรกรรม หรือการปกป้องความเป็นส่วนตัว ตัวอย่างข้อดีและข้อจำกัดของโปรโตคอลประเภทต่าง ๆ 

1. Proof of Work (PoW)

ข้อดี:

  • ความปลอดภัยสูง: เนื่องจากการใช้กำลังการคำนวณจำนวนมากในการยืนยันธุรกรรม ทำให้การโจมตีเครือข่ายหรือการทำลายระบบ (เช่น 51% attack) ยากมาก
  • กระจายอำนาจ: ผู้ขุดจากทั่วโลกสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการยืนยันธุรกรรม ทำให้ไม่เกิดการรวมศูนย์

ข้อจำกัด:

  • ใช้พลังงานมาก: การขุดต้องใช้พลังงานจำนวนมากซึ่งส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม
  • ช้าและมีค่าธรรมเนียมสูง: เนื่องจากการขุดและการยืนยันธุรกรรมต้องใช้เวลาและพลังงานในการคำนวณ ทำให้ธุรกรรมช้าลงและมีค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น

2. Proof of Stake (PoS)

ข้อดี:

  • ใช้พลังงานน้อย: เนื่องจากไม่มีการขุดที่ใช้พลังงานสูงเหมือนใน PoW

  • ความเร็วและประสิทธิภาพสูง: ธุรกรรมสามารถยืนยันได้เร็วขึ้นและมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า

  • กระจายอำนาจ: ผู้ถือเหรียญที่มี stake มากจะได้รับสิทธิในการสร้างบล็อกใหม่ แต่ยังคงสามารถกระจายการควบคุมไปทั่วโลก

ข้อจำกัด:

  • อาจทำให้เกิดการรวมศูนย์: ผู้ที่ถือเหรียญจำนวนมากอาจมีอำนาจในการควบคุมเครือข่ายสูงเกินไป

  • เสี่ยงจากการโจมตี: หากมีการรวมกลุ่มของผู้ที่ถือเหรียญมากในเครือข่าย อาจเกิดการโจมตีหรือการควบคุมเครือข่ายได้

3. Delegated Proof of Stake (DPoS)

ข้อดี:

  • ประสิทธิภาพสูง: ธุรกรรมสามารถยืนยันได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการเลือกตัวแทนเพื่อทำหน้าที่ในการยืนยันธุรกรรม

ข้อจำกัด:

  • การรวมศูนย์ของตัวแทน: หากตัวแทนที่ได้รับการเลือกมีอำนาจมากเกินไป อาจเกิดการรวมศูนย์และบิดเบือนระบบได้
  • ความเสี่ยงในการเลือกตัวแทน: ผู้ใช้ไม่สามารถมั่นใจได้ว่า ตัวแทนที่เลือกจะทำงานในลักษณะที่โปร่งใสและเป็นธรรม

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรโตคอล

  • โปรโตคอลคืออะไร?

โปรโตคอล (Protocol) คือ ชุดของกฎหรือข้อกำหนดที่กำหนดวิธีการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์หรือระบบต่าง ๆ ในเครือข่าย โดยโปรโตคอลจะช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างมีระเบียบและสามารถทำงานร่วมกันได้ แม้ว่าระบบต่าง ๆ จะใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน ซึ่งโปรโตคอลมีหน้าที่สำคัญในหลายด้าน เช่น

  • กำหนดวิธีการส่งข้อมูล
  • กำหนดรูปแบบข้อมูล
  • การจัดการการเชื่อมต่อและการยืนยันตัวตน
  • ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ส่งและรับ

 

  • โปรโตคอล TCP/IP ต่างจาก HTTP อย่างไร?

TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) เป็นชุดโปรโตคอลพื้นฐานที่ใช้ในการสื่อสารในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งประกอบด้วยโปรโตคอลหลายตัว เช่น TCP และ IPTCP ใช้ในการแบ่งข้อมูลเป็นแพ็กเก็ตและรับประกันว่าแพ็กเก็ตจะถูกส่งอย่างถูกต้องและครบถ้วน IP ใช้ในการกำหนดที่อยู่และส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์ปลายทางในเครือข่าย ส่วน HTTP (Hypertext Transfer Protocol) คือโปรโตคอลที่ทำงานบน TCP/IP และมุ่งเน้นในการส่งข้อมูลแบบข้อความในเว็บไซต์ โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเว็บเพจ เช่น ข้อความ รูปภาพ หรือข้อมูลอื่น ๆ จากเซิร์ฟเวอร์ไปยังเว็บเบราว์เซอร์

 

  • โปรโตคอลที่ใช้ในบล็อกเชนคืออะไร?

ในบล็อกเชนจะมีโปรโตคอลหลายตัวที่ช่วยในการทำธุรกรรมและเพิ่มบล็อกใหม่ เช่น Proof of Work (PoW), Proof of Stake (PoS), Delegated Proof of Stake (DPoS) และ Practical Byzantine Fault Tolerance (PBFT) เพื่อให้เครือข่ายบล็อกเชนทำงานได้อย่างปลอดภัยและกระจายอำนาจ

 

  • มีโปรโตคอลอะไรบ้างที่ใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์?

มีโปรโตคอลหลายประเภทที่ใช้ในการสื่อสารและจัดการข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น:

  • TCP/IP: ใช้สำหรับการส่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต
  • HTTP/HTTPS: ใช้ในการรับส่งข้อมูลระหว่างเว็บเซิร์ฟเวอร์และเว็บเบราว์เซอร์
  • FTP (File Transfer Protocol): ใช้ในการถ่ายโอนไฟล์ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์
  • SMTP: ใช้ในการส่งอีเมล
  • DNS: ใช้ในการแปลงชื่อโดเมนเป็นที่อยู่ IP
  • DHCP: ใช้ในการมอบหมายที่อยู่ IP ให้กับเครื่องในเครือข่าย

Conclusion

โปรโตคอลเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้โลกดิจิทัลทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตหรือการจัดการธุรกรรมในระบบบล็อกเชน โปรโตคอลเหล่านี้ช่วยให้การสื่อสารและการทำงานต่าง ๆ เป็นไปอย่างเรียบร้อยนั่นเอง

 

 

คำเตือน

*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ 
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด

 

อ้างอิง