Share this
Peg คืออะไร? กลไกสำคัญของ Stablecoin และค่าเงินดิจิทัล

ในโลกของการเงินและสกุลเงินคริปโต Peg ถือว่ามีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของมูลค่าสินทรัพย์เป็นอย่างมาก ดังนั้นการทำความเข้าใจกลไกของ Peg อาจช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพรวมของวิธีการที่สกุลเงินและสินทรัพย์ดิจิทัลรักษามูลค่าของตนเองในตลาดที่มีความผันผวนสูงได้ดียิ่งขึ้น ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึงความหมายของ Peg ประเภทต่าง ๆ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ รวมถึงบทบาทสำคัญของ Peg ในตลาดคริปโตเคอเรนซี
Peg คืออะไร
การตรึงค่าเงิน (Currency Peg) เป็นกลไกที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางใช้ในการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินของตนให้อยู่ในอัตราที่คงที่เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ การทำเช่นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของ Peg คือการตรึงค่าเงิน เช่น เงินบาทเคยถูกตรึงกับดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนที่จะปล่อยลอยตัวในปี 1997 ธนาคารแห่งประเทศไทย อธิบายว่า การตรึงค่าเงินช่วยให้มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีความเสี่ยงหากไม่สามารถรักษาอัตราแลกเปลี่ยนได้
สำหรับโลกของสกุลเงินดิจิทัล (คริปโตเคอเรนซี) Peg ถูกนำมาใช้เพื่อรักษามูลค่าของ Stablecoin เช่น USDT (Tether) และ USDC (USD Coin) ถูกทำให้มีค่าใกล้เคียงกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตรา 1:1 เพื่อให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนและถือครองสกุลเงินดิจิทัลโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของราคา
ประเภทของ Peg
การตรึงมูลค่าของเงินหรือสินทรัพย์ (Pegging) มีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับวิธีการที่เลือกใช้ในการรักษามูลค่าให้คงที่ ไม่ว่าจะเป็นการตรึงค่าเงิน (Currency Peg) กับสกุลเงินหลัก การตรึงสินทรัพย์ (Commodity Peg) กับสินค้าโภคภัณฑ์ หรือการตรึงมูลค่าของสกุลเงินดิจิทัล (Crypto Peg) กับสินทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน การเข้าใจประเภทของ Peg ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของกลไกที่ทำให้เงินหรือสินทรัพย์นั้นสามารถรักษามูลค่าหรือเสถียรภาพได้ในระยะยาว
1. Currency Peg
Currency Peg หรือการตรึงค่าเงิน เป็นกลไกที่ใช้โดยประเทศหรือเขตเศรษฐกิจเพื่อรักษาอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินของตนให้อยู่ในระดับที่คงที่เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของ Currency Peg คือการตรึงค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกง (HKD) กับดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ที่มีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ประมาณ 7.8 HKD/USD ตั้งแต่ปี 1983
การตรึงค่าเงินเช่นนี้ช่วยให้เศรษฐกิจของฮ่องกงมีเสถียรภาพและลดความผันผวนจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งช่วยเสริมความมั่นคงในตลาดการเงินและการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังช่วยให้การคาดการณ์ทางการเงินมีความแม่นยำมากขึ้นและกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศอีกด้วย
2. Commodity Peg
Commodity Peg คือการตรึงมูลค่าของสกุลเงินหรือสินทรัพย์กับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำหรือเงิน ระบบมาตรฐานทองคำ (Gold Standard) เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของ Commodity Peg ที่ประเทศต่าง ๆ ใช้ตรึงค่าเงินของตนกับทองคำ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษามูลค่าของสกุลเงินและป้องกันการเกิดเงินเฟ้อที่อาจเกิดจากการพิมพ์เงินโดยไม่มีการสนับสนุนจากทรัพยากรทางกายภาพ
การใช้ทองคำเป็นตัวตั้งมูลค่าสามารถสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงิน และทำให้ไม่เกิดการพิมพ์เงินโดยไม่มีการควบคุม อย่างไรก็ตาม ระบบทองคำถูกยกเลิกในช่วงศตวรรษที่ 20 เนื่องจากปัญหาในการรักษาปริมาณทองคำสำรองที่เพียงพอสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการใช้งานในระดับโลก
3. Crypto Peg
Crypto Peg หรือการตรึงมูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลกับสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น สกุลเงินดั้งเดิมหรือสินค้าโภคภัณฑ์ ถือเป็นวิธีการใหม่ที่ใช้ในโลกของคริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency)
โดย Stablecoin เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ Crypto Peg โดย Stablecoin จะตรึงมูลค่ากับสินทรัพย์ที่มีความเสถียรเช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือทองคำ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนหรือถือครองเงินดิจิทัลโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของราคา ตัวอย่างเช่น USDT (Tether) และ USDC (USD Coin) ซึ่งมีอัตราตรึงมูลค่ากับดอลลาร์สหรัฐในอัตรา 1:1 เพื่อรักษามูลค่าให้คงที่และทำให้การใช้ Stablecoin เป็นทางเลือกที่น่าเชื่อถือสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงความผันผวนในตลาดคริปโตเคอเรนซี

Peg มีผลกระทบอย่างไรต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงิน
การตรึงค่าเงินหรือสินทรัพย์ด้วย Peg มีผลกระทบอย่างมากทั้งต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินในแง่ต่าง ๆ โดยภาพรวมแล้วการใช้ Peg เป็นกลไกที่สามารถช่วยรักษาเสถียรภาพของมูลค่าของสกุลเงินหรือสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องได้ในช่วงเวลาที่เกิดความผันผวนในตลาดโลก ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยลดความไม่แน่นอนของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศและส่งเสริมความเชื่อมั่นในสกุลเงินนั้น ๆ
การตรึงค่าเงินมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก เช่น ภาวะเงินเฟ้อหรือวิกฤติเศรษฐกิจ ทำให้การทำธุรกิจระหว่างประเทศเป็นไปได้อย่างมั่นคงและลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนที่รวดเร็วและไม่คาดคิด อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการตรึงค่าเงินหรือสินทรัพย์บางอย่างแล้ว อาจมีความเสี่ยงในกรณีที่ประเทศไม่สามารถรักษาสมดุลของทุนสำรองได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุนแรงมากขึ้น
เมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ เช่น วิกฤติเศรษฐกิจในเอเชียปี 1997 ที่หลายประเทศในภูมิภาคไม่สามารถรักษาค่าเงินของตนให้สัมพันธ์กับดอลลาร์สหรัฐได้ ก็ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่ลามไปหลายประเทศในภูมิภาค โดยผลกระทบจากการไม่สามารถรักษาการตรึงค่าเงินทำให้ค่าเงินลดลงอย่างรวดเร็ว นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดของการใช้ Peg ในบางกรณี

Peg ในตลาดคริปโตเคอเรนซี
ในตลาดคริปโตเคอเรนซี แนวคิดของ Peg ถูกนำมาใช้ใน Stablecoin เพื่อรักษามูลค่าให้คงที่ Stablecoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีการตรึงมูลค่ากับสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพ เช่น ดอลลาร์สหรัฐหรือทองคำ ตัวอย่างเช่น USDT (Tether) และ USDC (USD Coin) เป็น Stablecoin ที่ตรึงมูลค่ากับดอลลาร์สหรัฐในอัตรา 1:1 เพื่อให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนและถือครองสกุลเงินดิจิทัลโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของราคา
นอกจากนี้ ยังมี Stablecoin ที่ตรึงมูลค่ากับสกุลเงินอื่น เช่น Tether ที่มีแผนจะเปิดตัว Stablecoin ที่ตรึงมูลค่ากับสกุลเงินดีแรห์ม (AED) ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อขยายการใช้งาน Stablecoin ในภูมิภาคตะวันออกกลาง
Pegging กับ Arbitrage และการเก็งกำไร
การตรึงค่าเงิน (Pegging) และการเก็งกำไร (Arbitrage) เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสกุลเงินหรือสินทรัพย์ในตลาดการเงิน แต่มีวัตถุประสงค์และวิธีการที่แตกต่างกัน
การตรึงค่าเงิน (Pegging):
การตรึงค่าเงินคือกระบวนการที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางกำหนดให้อัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินของตนสัมพันธ์กับสกุลเงินหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
การเก็งกำไร (Arbitrage):
การเก็งกำไรคือการหาผลกำไรจากความแตกต่างของราคาสินทรัพย์เดียวกันในตลาดหรือสถานการณ์ที่แตกต่างกัน โดยนักลงทุนจะซื้อสินทรัพย์ในตลาดที่ราคาต่ำกว่า และขายในตลาดที่ราคาสูงกว่า เพื่อรับประโยชน์จากส่วนต่างราคานั้น
ความสัมพันธ์ระหว่าง Pegging และ Arbitrage:
เมื่อสกุลเงินถูกตรึงค่า (Pegged) กับสกุลเงินหลัก แต่ในทางปฏิบัติอาจเกิดความแตกต่างเล็กน้อยของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างตลาดหรือช่วงเวลาต่าง ๆ นักลงทุนสามารถใช้โอกาสนี้ในการเก็งกำไร (Arbitrage) โดยการซื้อสกุลเงินในตลาดที่มีอัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่า และขายในตลาดที่มีอัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่า เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างนั้น
ตัวอย่าง:
สมมุติว่าประเทศ A ตรึงค่าเงินของตนกับดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อัตรา 1:1 แต่ในตลาดการเงินระหว่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยนของเงินของประเทศ A อาจอยู่ที่ 1.01 ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่ในประเทศ A เอง อัตราแลกเปลี่ยนยังคงอยู่ที่ 1:1 นักลงทุนสามารถซื้อเงินของประเทศ A ในตลาดที่อัตราแลกเปลี่ยน 1.01 และขายในประเทศ A ที่อัตรา 1:1 เพื่อรับกำไรจากส่วนต่างนี้

ข้อดีและข้อเสียของ Peg
ข้อดีของการตรึงค่าเงิน (Peg):
- เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ: การตรึงค่าเงินช่วยลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ส่งเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุน และสนับสนุนการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ
- ลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: การตรึงค่าเงินช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ธุรกิจสามารถวางแผนการเงินและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อเสียของการตรึงค่าเงิน (Peg):
- สูญเสียความยืดหยุ่นทางการเงิน: การตรึงค่าเงินอาจทำให้รัฐบาลหรือธนาคารกลางสูญเสียความยืดหยุ่นในการปรับนโยบายการเงิน เนื่องจากต้องรักษาอัตราแลกเปลี่ยนที่ตรึงไว้
- ความเสี่ยงต่อวิกฤติเศรษฐกิจ: หากไม่มีทุนสำรองเพียงพอหรือไม่สามารถรักษาอัตราแลกเปลี่ยนที่ตรึงไว้ได้ อาจนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจ เช่น วิกฤติเศรษฐกิจในเอเชียปี 1997
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Peg
-
Peg หมายถึงอะไรในโลกการเงิน?
ในโลกการเงิน "Peg" หมายถึงกระบวนการที่รัฐบาล ธนาคารกลาง หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องใช้เพื่อรักษามูลค่าของสกุลเงินหรือสินทรัพย์ให้คงที่ โดยการเชื่อมโยงค่าเงินหรือมูลค่ากับสินทรัพย์หรือสกุลเงินอื่นๆ ที่มีความมั่นคงมากกว่า เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือทองคำ
-
Peg กับ Stablecoin ต่างกันอย่างไร?
Peg เป็นกลไกที่ใช้โดยหน่วยงานรัฐบาล ธนาคารกลาง หรือโปรโตคอลการเงินเพื่อรักษามูลค่าของสกุลเงินหรือสินทรัพย์ โดยมีการเชื่อมโยงกับสินทรัพย์อื่น เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือทองคำ
Stablecoin คือสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้การ Peg กับสินทรัพย์ใดๆ เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อลดความผันผวนและรักษามูลค่าคงที่ในโลกของการเงินดิจิทัล
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า Peg เป็นกระบวนการที่อาจใช้ในการตรึงมูลค่าของสกุลเงินหรือสินทรัพย์โดยทั่วไป ส่วน Stablecoin เป็นตัวอย่างหนึ่งของสินทรัพย์ที่ใช้ Peg เพื่อให้มูลค่าคงที่ในตลาดคริปโต
-
Pegging มีผลกระทบต่อค่าเงินอย่างไร?
การ Pegging หรือการตรึงค่าเงินมีผลกระทบต่อค่าเงินในหลายแง่มุม โดยเฉพาะในเรื่องของเสถียรภาพของค่าเงิน อัตราแลกเปลี่ยน และนโยบายการเงินของประเทศที่ใช้งาน
-
- เสถียรภาพของค่าเงิน:การตรึงค่าเงินช่วยสร้างเสถียรภาพในตลาดการเงิน โดยทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นๆ ไม่ผันผวนมากเกินไปเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก
- ผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน: เมื่อมีการตรึงค่าเงิน การอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินนั้นจะไม่ผันผวนตามกลไกตลาด ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่คาดคิดสำหรับนักธุรกิจและนักลงทุนระหว่างประเทศ
- การสูญเสียความยืดหยุ่นในการใช้นโยบายการเงิน: การตรึงค่าเงินทำให้ธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ สูญเสียอำนาจในการปรับอัตราดอกเบี้ยหรือการใช้เครื่องมือนโยบายการเงินอื่นๆ เพื่อควบคุมเศรษฐกิจ เช่น หากเศรษฐกิจชะลอตัว ธนาคารกลางอาจไม่สามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ตามต้องการ เนื่องจากต้องรักษาอัตราแลกเปลี่ยนที่ตรึงกับสกุลเงินหลัก
-
เสี่ยงต่อการขาดทุนจากทุนสำรอง: การตรึงค่าเงินต้องการทุนสำรองระหว่างประเทศในปริมาณมาก เพื่อให้สามารถปกป้องอัตราแลกเปลี่ยนที่ตรึงไว้ หากไม่มีทุนสำรองเพียงพอ การรักษาการตรึงค่าเงินอาจล้มเหลวและทำให้เกิดการลดค่าเงินอย่างกระทันหัน
-
มีตัวอย่างของ Pegging ที่ล้มเหลวบ้างไหม?
มีหลายกรณีที่การ Pegging หรือการตรึงค่าเงินล้มเหลว ซึ่งมักเกิดจากการขาดทุนสำรองเงินตราหรือการผันผวนของตลาดที่ไม่สามารถควบคุมได้ ตัวอย่างที่สำคัญ เช่น
วิกฤติเศรษฐกิจในเอเชียปี 1997
ขณะนั้นหลายประเทศในภูมิภาคได้ตรึงค่าเงินของตนกับดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) และเมื่อเกิดวิกฤติการเงินขึ้น การขาดทุนจากทุนสำรองทำให้การตรึงค่าเงินไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ ส่งผลให้ค่าเงินของหลายประเทศในเอเชียต้องลดลงอย่างรวดเร็ว
-
ไทย: การตรึงค่าเงินบาท (THB) กับดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ระดับ 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ในช่วงปี 1997 ล้มเหลวเมื่อเกิดการรั่วไหลของทุนสำรอง และธนาคารแห่งประเทศไทยไม่สามารถปกป้องค่าเงินบาทจากการโจมตีทางการเงินได้ ทำให้ค่าเงินบาทลดลงกว่า 50% ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน
-
เกาหลีใต้: เกาหลีใต้ก็เผชิญกับสถานการณ์คล้ายกัน โดยการตรึงวอนเกาหลีใต้ (KRW) กับดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ประเทศนี้ต้องปรับค่าเงินใหม่ เมื่อระบบการเงินไม่สามารถรับมือกับการขาดทุนสำรองและการเปลี่ยนแปลงของตลาดการเงินที่เกิดขึ้น
การถอนตัวจากระบบ ERM (European Exchange Rate Mechanism) ของสหราชอาณาจักร
ในปี 1992 สหราชอาณาจักร พยายามรักษาค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) ให้คงที่ในระบบ ERM ของยุโรป ซึ่งเป็นการตรึงค่าเงินระหว่างประเทศสมาชิกกับสกุลเงินหลักของยุโรปในระดับที่กำหนดไว้
อย่างไรก็ตาม การรักษาอัตราแลกเปลี่ยนที่ตรึงไว้นี้ได้ล้มเหลวเนื่องจากแรงกดดันจากตลาดและการคาดการณ์ว่าเงินปอนด์จะลดค่า ทำให้มีการเก็งกำไรจากนักลงทุน จนสุดท้ายสหราชอาณาจักรต้องถอนตัวจากระบบ ERM ในวันที่ 16 กันยายน 1992 ซึ่งถูกเรียกว่า "Black Wednesday" และเงินปอนด์ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
Conclusion
การตรึงค่าเงิน (Peg) เป็นกลไกทางการเงินที่มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาเสถียรภาพของมูลค่าของสกุลเงินหรือสินทรัพย์ โดยการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนให้คงที่หรือมีการเคลื่อนไหวในกรอบที่จำกัดเมื่อเทียบกับสกุลเงินหรือสินทรัพย์อื่น ๆ กลไกนี้สามารถช่วยเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และส่งเสริมความเชื่อมั่นในตลาดการเงินได้
อย่างไรก็ตาม การตรึงค่าเงินก็มีข้อจำกัดและความเสี่ยง เช่น การสูญเสียความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ การเผชิญกับปัญหาทุนสำรองไม่เพียงพอ หรือการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจจากการไม่สามารถรักษาอัตราแลกเปลี่ยนได้ นักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายจึงจำเป็นต้องพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตรึงค่าเงินอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถใช้กลไกนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด
อ้างอิง
Share this
- Bitazza Blog (111)
- Crypto Weekly (47)
- DAO (15)
- Beginner (14)
- mission (11)
- ความปลอดภัย (11)
- Tether (USDt) (8)
- บล็อกเชน (8)
- bitcoin (7)
- missions (7)
- Learning Hub (6)
- การค้าขาย (6)
- หัวข้อเด่น (6)
- ตลาด (5)
- วิจัย (5)
- Campaigns (3)
- Security (3)
- เศรษฐศาสตร์ (3)
- Bitazza Insights (2)
- Social Features (2)
- Stablecoin (2)
- Token talk (2)
- Trading (2)
- TradingView (2)
- เกี่ยวกับการสอน (2)
- Crypto รายสัปดาห์ (1)
- Disclosure (1)
- ENJ (1)
- Educational (1)
- Featured (1)
- KYC (1)
- NFTs (1)
- SEC (1)
- TRUMP (1)
- บิทาซซ่าบล็อกส์ (1)
Subscribe by email

WAN Coin คืออะไร? เหรียญจาก Wanchain กับโซลูชันเชื่อมต่อบล็อกเชน

NEAR Coin คืออะไร? แพลตฟอร์มบล็อกเชนใช้งานง่ายสำหรับทุกคน

มาเลเซียเปิดตัวฮับสินทรัพย์ดิจิทัล เตรียมทดลอง Stablecoin ผูกเงินริงกิต

DOT Coin คืออะไร? เจาะลึก Polkadot และระบบเชื่อมบล็อกเชนแห่งอนาคต

ส่อง PNUT Coin เหรียญมีมมาแรงบน Solana

TON Coin คืออะไร? ทำความรู้จักเหรียญจาก Telegram และอนาคตของ Web3

รู้จัก NOT Coin คืออะไร? เหรียญไวรัลจาก Telegram ที่กำลังเปลี่ยนเกมคริปโตฯ

BabyDoge คืออะไร? วิเคราะห์อนาคตเหรียญมีมในตลาดคริปโตปี 2025

AAVE คืออะไร? แพลตฟอร์มกู้ยืมในโลก DeFi ที่นักลงทุนต้องรู้
