Share this
Peg คืออะไร? กลไกสำคัญของ Stablecoin และค่าเงินดิจิทัล

ในโลกของการเงินและสกุลเงินคริปโต Peg ถือว่ามีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของมูลค่าสินทรัพย์เป็นอย่างมาก ดังนั้นการทำความเข้าใจกลไกของ Peg อาจช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพรวมของวิธีการที่สกุลเงินและสินทรัพย์ดิจิทัลรักษามูลค่าของตนเองในตลาดที่มีความผันผวนสูงได้ดียิ่งขึ้น ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึงความหมายของ Peg ประเภทต่าง ๆ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ รวมถึงบทบาทสำคัญของ Peg ในตลาดคริปโตเคอเรนซี
Peg คืออะไร
การตรึงค่าเงิน (Currency Peg) เป็นกลไกที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางใช้ในการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินของตนให้อยู่ในอัตราที่คงที่เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ การทำเช่นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของ Peg คือการตรึงค่าเงิน เช่น เงินบาทเคยถูกตรึงกับดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนที่จะปล่อยลอยตัวในปี 1997 ธนาคารแห่งประเทศไทย อธิบายว่า การตรึงค่าเงินช่วยให้มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีความเสี่ยงหากไม่สามารถรักษาอัตราแลกเปลี่ยนได้
สำหรับโลกของสกุลเงินดิจิทัล (คริปโตเคอเรนซี) Peg ถูกนำมาใช้เพื่อรักษามูลค่าของ Stablecoin เช่น USDT (Tether) และ USDC (USD Coin) ถูกทำให้มีค่าใกล้เคียงกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตรา 1:1 เพื่อให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนและถือครองสกุลเงินดิจิทัลโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของราคา
ประเภทของ Peg
การตรึงมูลค่าของเงินหรือสินทรัพย์ (Pegging) มีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับวิธีการที่เลือกใช้ในการรักษามูลค่าให้คงที่ ไม่ว่าจะเป็นการตรึงค่าเงิน (Currency Peg) กับสกุลเงินหลัก การตรึงสินทรัพย์ (Commodity Peg) กับสินค้าโภคภัณฑ์ หรือการตรึงมูลค่าของสกุลเงินดิจิทัล (Crypto Peg) กับสินทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน การเข้าใจประเภทของ Peg ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของกลไกที่ทำให้เงินหรือสินทรัพย์นั้นสามารถรักษามูลค่าหรือเสถียรภาพได้ในระยะยาว
1. Currency Peg
Currency Peg หรือการตรึงค่าเงิน เป็นกลไกที่ใช้โดยประเทศหรือเขตเศรษฐกิจเพื่อรักษาอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินของตนให้อยู่ในระดับที่คงที่เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของ Currency Peg คือการตรึงค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกง (HKD) กับดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ที่มีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ประมาณ 7.8 HKD/USD ตั้งแต่ปี 1983
การตรึงค่าเงินเช่นนี้ช่วยให้เศรษฐกิจของฮ่องกงมีเสถียรภาพและลดความผันผวนจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งช่วยเสริมความมั่นคงในตลาดการเงินและการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังช่วยให้การคาดการณ์ทางการเงินมีความแม่นยำมากขึ้นและกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศอีกด้วย
2. Commodity Peg
Commodity Peg คือการตรึงมูลค่าของสกุลเงินหรือสินทรัพย์กับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำหรือเงิน ระบบมาตรฐานทองคำ (Gold Standard) เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของ Commodity Peg ที่ประเทศต่าง ๆ ใช้ตรึงค่าเงินของตนกับทองคำ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษามูลค่าของสกุลเงินและป้องกันการเกิดเงินเฟ้อที่อาจเกิดจากการพิมพ์เงินโดยไม่มีการสนับสนุนจากทรัพยากรทางกายภาพ
การใช้ทองคำเป็นตัวตั้งมูลค่าสามารถสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงิน และทำให้ไม่เกิดการพิมพ์เงินโดยไม่มีการควบคุม อย่างไรก็ตาม ระบบทองคำถูกยกเลิกในช่วงศตวรรษที่ 20 เนื่องจากปัญหาในการรักษาปริมาณทองคำสำรองที่เพียงพอสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการใช้งานในระดับโลก
3. Crypto Peg
Crypto Peg หรือการตรึงมูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลกับสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น สกุลเงินดั้งเดิมหรือสินค้าโภคภัณฑ์ ถือเป็นวิธีการใหม่ที่ใช้ในโลกของคริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency)
โดย Stablecoin เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ Crypto Peg โดย Stablecoin จะตรึงมูลค่ากับสินทรัพย์ที่มีความเสถียรเช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือทองคำ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนหรือถือครองเงินดิจิทัลโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของราคา ตัวอย่างเช่น USDT (Tether) และ USDC (USD Coin) ซึ่งมีอัตราตรึงมูลค่ากับดอลลาร์สหรัฐในอัตรา 1:1 เพื่อรักษามูลค่าให้คงที่และทำให้การใช้ Stablecoin เป็นทางเลือกที่น่าเชื่อถือสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงความผันผวนในตลาดคริปโตเคอเรนซี

Peg มีผลกระทบอย่างไรต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงิน
การตรึงค่าเงินหรือสินทรัพย์ด้วย Peg มีผลกระทบอย่างมากทั้งต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินในแง่ต่าง ๆ โดยภาพรวมแล้วการใช้ Peg เป็นกลไกที่สามารถช่วยรักษาเสถียรภาพของมูลค่าของสกุลเงินหรือสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องได้ในช่วงเวลาที่เกิดความผันผวนในตลาดโลก ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยลดความไม่แน่นอนของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศและส่งเสริมความเชื่อมั่นในสกุลเงินนั้น ๆ
การตรึงค่าเงินมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก เช่น ภาวะเงินเฟ้อหรือวิกฤติเศรษฐกิจ ทำให้การทำธุรกิจระหว่างประเทศเป็นไปได้อย่างมั่นคงและลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนที่รวดเร็วและไม่คาดคิด อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการตรึงค่าเงินหรือสินทรัพย์บางอย่างแล้ว อาจมีความเสี่ยงในกรณีที่ประเทศไม่สามารถรักษาสมดุลของทุนสำรองได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุนแรงมากขึ้น
เมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ เช่น วิกฤติเศรษฐกิจในเอเชียปี 1997 ที่หลายประเทศในภูมิภาคไม่สามารถรักษาค่าเงินของตนให้สัมพันธ์กับดอลลาร์สหรัฐได้ ก็ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่ลามไปหลายประเทศในภูมิภาค โดยผลกระทบจากการไม่สามารถรักษาการตรึงค่าเงินทำให้ค่าเงินลดลงอย่างรวดเร็ว นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดของการใช้ Peg ในบางกรณี

Peg ในตลาดคริปโตเคอเรนซี
ในตลาดคริปโตเคอเรนซี แนวคิดของ Peg ถูกนำมาใช้ใน Stablecoin เพื่อรักษามูลค่าให้คงที่ Stablecoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีการตรึงมูลค่ากับสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพ เช่น ดอลลาร์สหรัฐหรือทองคำ ตัวอย่างเช่น USDT (Tether) และ USDC (USD Coin) เป็น Stablecoin ที่ตรึงมูลค่ากับดอลลาร์สหรัฐในอัตรา 1:1 เพื่อให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนและถือครองสกุลเงินดิจิทัลโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของราคา
นอกจากนี้ ยังมี Stablecoin ที่ตรึงมูลค่ากับสกุลเงินอื่น เช่น Tether ที่มีแผนจะเปิดตัว Stablecoin ที่ตรึงมูลค่ากับสกุลเงินดีแรห์ม (AED) ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อขยายการใช้งาน Stablecoin ในภูมิภาคตะวันออกกลาง
Pegging กับ Arbitrage และการเก็งกำไร
การตรึงค่าเงิน (Pegging) และการเก็งกำไร (Arbitrage) เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสกุลเงินหรือสินทรัพย์ในตลาดการเงิน แต่มีวัตถุประสงค์และวิธีการที่แตกต่างกัน
การตรึงค่าเงิน (Pegging):
การตรึงค่าเงินคือกระบวนการที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางกำหนดให้อัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินของตนสัมพันธ์กับสกุลเงินหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
การเก็งกำไร (Arbitrage):
การเก็งกำไรคือการหาผลกำไรจากความแตกต่างของราคาสินทรัพย์เดียวกันในตลาดหรือสถานการณ์ที่แตกต่างกัน โดยนักลงทุนจะซื้อสินทรัพย์ในตลาดที่ราคาต่ำกว่า และขายในตลาดที่ราคาสูงกว่า เพื่อรับประโยชน์จากส่วนต่างราคานั้น
ความสัมพันธ์ระหว่าง Pegging และ Arbitrage:
เมื่อสกุลเงินถูกตรึงค่า (Pegged) กับสกุลเงินหลัก แต่ในทางปฏิบัติอาจเกิดความแตกต่างเล็กน้อยของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างตลาดหรือช่วงเวลาต่าง ๆ นักลงทุนสามารถใช้โอกาสนี้ในการเก็งกำไร (Arbitrage) โดยการซื้อสกุลเงินในตลาดที่มีอัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่า และขายในตลาดที่มีอัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่า เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างนั้น
ตัวอย่าง:
สมมุติว่าประเทศ A ตรึงค่าเงินของตนกับดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อัตรา 1:1 แต่ในตลาดการเงินระหว่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยนของเงินของประเทศ A อาจอยู่ที่ 1.01 ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่ในประเทศ A เอง อัตราแลกเปลี่ยนยังคงอยู่ที่ 1:1 นักลงทุนสามารถซื้อเงินของประเทศ A ในตลาดที่อัตราแลกเปลี่ยน 1.01 และขายในประเทศ A ที่อัตรา 1:1 เพื่อรับกำไรจากส่วนต่างนี้

ข้อดีและข้อเสียของ Peg
ข้อดีของการตรึงค่าเงิน (Peg):
- เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ: การตรึงค่าเงินช่วยลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ส่งเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุน และสนับสนุนการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ
- ลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: การตรึงค่าเงินช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ธุรกิจสามารถวางแผนการเงินและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อเสียของการตรึงค่าเงิน (Peg):
- สูญเสียความยืดหยุ่นทางการเงิน: การตรึงค่าเงินอาจทำให้รัฐบาลหรือธนาคารกลางสูญเสียความยืดหยุ่นในการปรับนโยบายการเงิน เนื่องจากต้องรักษาอัตราแลกเปลี่ยนที่ตรึงไว้
- ความเสี่ยงต่อวิกฤติเศรษฐกิจ: หากไม่มีทุนสำรองเพียงพอหรือไม่สามารถรักษาอัตราแลกเปลี่ยนที่ตรึงไว้ได้ อาจนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจ เช่น วิกฤติเศรษฐกิจในเอเชียปี 1997
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Peg
-
Peg หมายถึงอะไรในโลกการเงิน?
ในโลกการเงิน "Peg" หมายถึงกระบวนการที่รัฐบาล ธนาคารกลาง หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องใช้เพื่อรักษามูลค่าของสกุลเงินหรือสินทรัพย์ให้คงที่ โดยการเชื่อมโยงค่าเงินหรือมูลค่ากับสินทรัพย์หรือสกุลเงินอื่นๆ ที่มีความมั่นคงมากกว่า เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือทองคำ
-
Peg กับ Stablecoin ต่างกันอย่างไร?
Peg เป็นกลไกที่ใช้โดยหน่วยงานรัฐบาล ธนาคารกลาง หรือโปรโตคอลการเงินเพื่อรักษามูลค่าของสกุลเงินหรือสินทรัพย์ โดยมีการเชื่อมโยงกับสินทรัพย์อื่น เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือทองคำ
Stablecoin คือสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้การ Peg กับสินทรัพย์ใดๆ เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อลดความผันผวนและรักษามูลค่าคงที่ในโลกของการเงินดิจิทัล
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า Peg เป็นกระบวนการที่อาจใช้ในการตรึงมูลค่าของสกุลเงินหรือสินทรัพย์โดยทั่วไป ส่วน Stablecoin เป็นตัวอย่างหนึ่งของสินทรัพย์ที่ใช้ Peg เพื่อให้มูลค่าคงที่ในตลาดคริปโต
-
Pegging มีผลกระทบต่อค่าเงินอย่างไร?
การ Pegging หรือการตรึงค่าเงินมีผลกระทบต่อค่าเงินในหลายแง่มุม โดยเฉพาะในเรื่องของเสถียรภาพของค่าเงิน อัตราแลกเปลี่ยน และนโยบายการเงินของประเทศที่ใช้งาน
-
- เสถียรภาพของค่าเงิน:การตรึงค่าเงินช่วยสร้างเสถียรภาพในตลาดการเงิน โดยทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นๆ ไม่ผันผวนมากเกินไปเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก
- ผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน: เมื่อมีการตรึงค่าเงิน การอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินนั้นจะไม่ผันผวนตามกลไกตลาด ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่คาดคิดสำหรับนักธุรกิจและนักลงทุนระหว่างประเทศ
- การสูญเสียความยืดหยุ่นในการใช้นโยบายการเงิน: การตรึงค่าเงินทำให้ธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ สูญเสียอำนาจในการปรับอัตราดอกเบี้ยหรือการใช้เครื่องมือนโยบายการเงินอื่นๆ เพื่อควบคุมเศรษฐกิจ เช่น หากเศรษฐกิจชะลอตัว ธนาคารกลางอาจไม่สามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ตามต้องการ เนื่องจากต้องรักษาอัตราแลกเปลี่ยนที่ตรึงกับสกุลเงินหลัก
-
เสี่ยงต่อการขาดทุนจากทุนสำรอง: การตรึงค่าเงินต้องการทุนสำรองระหว่างประเทศในปริมาณมาก เพื่อให้สามารถปกป้องอัตราแลกเปลี่ยนที่ตรึงไว้ หากไม่มีทุนสำรองเพียงพอ การรักษาการตรึงค่าเงินอาจล้มเหลวและทำให้เกิดการลดค่าเงินอย่างกระทันหัน
-
มีตัวอย่างของ Pegging ที่ล้มเหลวบ้างไหม?
มีหลายกรณีที่การ Pegging หรือการตรึงค่าเงินล้มเหลว ซึ่งมักเกิดจากการขาดทุนสำรองเงินตราหรือการผันผวนของตลาดที่ไม่สามารถควบคุมได้ ตัวอย่างที่สำคัญ เช่น
วิกฤติเศรษฐกิจในเอเชียปี 1997
ขณะนั้นหลายประเทศในภูมิภาคได้ตรึงค่าเงินของตนกับดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) และเมื่อเกิดวิกฤติการเงินขึ้น การขาดทุนจากทุนสำรองทำให้การตรึงค่าเงินไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ ส่งผลให้ค่าเงินของหลายประเทศในเอเชียต้องลดลงอย่างรวดเร็ว
-
ไทย: การตรึงค่าเงินบาท (THB) กับดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ระดับ 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ในช่วงปี 1997 ล้มเหลวเมื่อเกิดการรั่วไหลของทุนสำรอง และธนาคารแห่งประเทศไทยไม่สามารถปกป้องค่าเงินบาทจากการโจมตีทางการเงินได้ ทำให้ค่าเงินบาทลดลงกว่า 50% ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน
-
เกาหลีใต้: เกาหลีใต้ก็เผชิญกับสถานการณ์คล้ายกัน โดยการตรึงวอนเกาหลีใต้ (KRW) กับดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ประเทศนี้ต้องปรับค่าเงินใหม่ เมื่อระบบการเงินไม่สามารถรับมือกับการขาดทุนสำรองและการเปลี่ยนแปลงของตลาดการเงินที่เกิดขึ้น
การถอนตัวจากระบบ ERM (European Exchange Rate Mechanism) ของสหราชอาณาจักร
ในปี 1992 สหราชอาณาจักร พยายามรักษาค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) ให้คงที่ในระบบ ERM ของยุโรป ซึ่งเป็นการตรึงค่าเงินระหว่างประเทศสมาชิกกับสกุลเงินหลักของยุโรปในระดับที่กำหนดไว้
อย่างไรก็ตาม การรักษาอัตราแลกเปลี่ยนที่ตรึงไว้นี้ได้ล้มเหลวเนื่องจากแรงกดดันจากตลาดและการคาดการณ์ว่าเงินปอนด์จะลดค่า ทำให้มีการเก็งกำไรจากนักลงทุน จนสุดท้ายสหราชอาณาจักรต้องถอนตัวจากระบบ ERM ในวันที่ 16 กันยายน 1992 ซึ่งถูกเรียกว่า "Black Wednesday" และเงินปอนด์ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
Conclusion
การตรึงค่าเงิน (Peg) เป็นกลไกทางการเงินที่มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาเสถียรภาพของมูลค่าของสกุลเงินหรือสินทรัพย์ โดยการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนให้คงที่หรือมีการเคลื่อนไหวในกรอบที่จำกัดเมื่อเทียบกับสกุลเงินหรือสินทรัพย์อื่น ๆ กลไกนี้สามารถช่วยเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และส่งเสริมความเชื่อมั่นในตลาดการเงินได้
อย่างไรก็ตาม การตรึงค่าเงินก็มีข้อจำกัดและความเสี่ยง เช่น การสูญเสียความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ การเผชิญกับปัญหาทุนสำรองไม่เพียงพอ หรือการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจจากการไม่สามารถรักษาอัตราแลกเปลี่ยนได้ นักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายจึงจำเป็นต้องพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตรึงค่าเงินอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถใช้กลไกนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด
อ้างอิง
Share this
- Bitazza Blog (81)
- Crypto Weekly (41)
- DAO (15)
- Beginner (14)
- mission (11)
- ความปลอดภัย (11)
- บล็อกเชน (8)
- Learning Hub (6)
- การค้าขาย (6)
- หัวข้อเด่น (6)
- Tether (USDt) (5)
- ตลาด (5)
- วิจัย (5)
- bitcoin (4)
- Campaigns (3)
- Security (3)
- missions (3)
- เศรษฐศาสตร์ (3)
- Bitazza Insights (2)
- Stablecoin (2)
- Token talk (2)
- Trading (2)
- เกี่ยวกับการสอน (2)
- Crypto รายสัปดาห์ (1)
- Disclosure (1)
- ENJ (1)
- Educational (1)
- Featured (1)
- KYC (1)
- NFTs (1)
- SEC (1)
- TRUMP (1)
- TradingView (1)
- บิทาซซ่าบล็อกส์ (1)