ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยความผันผวน ราคาสามารถพุ่งขึ้นสูงในชั่วข้ามคืน หรือร่วงดิ่งลงในเวลาไม่กี่นาที สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่แล้วเหมือนกำลังเดินอยู่ในเขาวงกตที่ทำให้เกิดความสับสนว่าจะเข้าซื้อเมื่อไหร่? หรือ ขายตอนไหนถึงจะคุ้มที่สุด? ซึ่งสิ่งที่จะช่วยให้จับจังหวะการซื้อขายของตลาดได้ก็คือ “Indicator” หรือ “เครื่องมือวิเคราะห์เชิงเทคนิค” บทความนี้จะพาไปเรียนรู้ Indicator ทั้งความหมายและวิธิใช้ที่นักลงทุนมือใหม่ต้องรู้!
Indicator คือ เครื่องมือวิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical Analysis Tool) ที่ช่วยประเมินแนวโน้มราคา หาจังหวะเข้าออกตลาด และสัญญาณซื้อขาย เปรียบได้กับตัวช่วยที่ทำให้เข้าใจพฤติกรรมราคา แนวโน้มตลาด และจังหวะการเทรดที่เหมาะสม ทำให้นักเทรดไม่ว่าจะมือใหม่ หรือมือโปรก็สามารถที่จะตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมีแม่นยำมากขึ้น
Leading Indicator คือ ตัวชี้วัดที่ใช้ “คาดการณ์” การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต โดยทำหน้าที่เป็น “ตัวนำ” การเคลื่อนไหวของราคาและส่งสัญญาณก่อนที่แนวโน้มหรือการกลับตัวจะเกิดขึ้นจริง ทำให้นักเทรดสามารถเข้าออเดอร์ได้ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการเคลื่อนไหว และอาจสร้างกำไรสูงสุด แต่มีจุดอ่อนคือ มักมี False Singal หรือสัญญาณหลอกบ่อยครั้ง
ตัวอย่าง Leading Indicator เช่น
Lagging Indicator คือ ตัวชี้วัดที่สะท้อนสิ่งที่ “เกิดขึ้นแล้ว” โดยทำหน้าที่เป็น “ตัวตาม” การเคลื่อนไหวของราคาและส่งสัญญาณหลังจากที่แนวโน้มหรือการกลับตัวเกิดขึ้นแล้ว ช่วยให้นักเทรดมั่นใจได้ว่าแนวโน้มปัจจุบันยังดำเนินอยู่ และสามารถเข้าเทรดตามทิศทางตลาดที่ชัดเจนได้ มีจุดอ่อนคือ มักให้สัญญาณช้า ซึ่งอาจทำให้พลาดการเคลื่อนไหวของราคาใหญ่
ตัวอย่าง Lagging Indicator เช่น
เห็นได้ชัดว่า Leading และ Lagging Indicator มีความแตกต่างกันในเชิงของจังหวะในการให้สัญญาณ และวัตถุประสงค์ของการใช้งาน ดังนั้น การเลือกใช้ให้เหมาะกับสไตล์เทรดจะช่วยให้การวิเคราะห์มีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้น
1. Moving Average (MA)
Indicator ประเภท Trend-Following ที่ใช้ติดตามแนวโน้ม หรือที่รู้จักกันว่า “เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่” โดยอ้างอิงจริงราคาย้อนหลังในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่ง MA จะช่วยในการ “หา” ค่าเฉลี่ย “ปรับ” ความผันผวนของราคาสินทรัพย์ พร้อม “ระบุ” ทิศทางของตลาดว่ากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง ทำให้นักเทรดสามารถหาจุดเข้าออกในการเทรดได้อย่างแม่นยำ
2. Relative Strength Index (RSI)
Indicator ประเภท Momentum Oscillator ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย J.Welles Wilder Jr. ในปี 1978 ซึ่งจะช่วยวัด “ความเร็ว” และ “การเปลี่ยนแปลง” ของราคา RSI มีค่ามาตราฐานอยู่ระหว่าง 0-100 โดยหาก RSI อยู่ต่ำกว่า 30 หมายความว่าเกิดแรงขายจำนวนมากทำให้ราคาลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอยู่ในภาวะขายมากเกินไป (Oversold) และหากค่า Relative Strength Index (RSI) มากกว่า 70 จะแสดงถึงแรงซื้อที่รุนแรง ทำให้ราคาปรับตัวขึ้นสูงกว่าปกติ และอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought)
3. Moving Average Convergence Divergence (MACD)
Indicator ที่สร้างขึ้นโดย Gerald Appel ในปี 1970s โดย MACD จะช่วยให้นักลงทุนสามารถ “วิเคราะห์” เทรนด์แนวโน้มของราคาและโมเมนตัม เพื่อระบุจุดเข้าซื้อ (Buy) และจุดขายออก (Buy) โดย เส้น MACD จะคำนวณจากการนำค่า EMA (Exponential Moving Average) ของระยะเวลา 26 วัน มาลบออกจากค่า EMA ระยะเวลา 12 วัน เหมาะสำหรับการหาจุดกลับตัวของแนมโน้มและจังหวะซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพ
4. Bollinger Bands
Indicator ที่ถูกสร้างขึ้นโดย John Bollinger ใช้ในการวัด “ระดับ” ความผันผวนของราคาและช่วยระบุภาวะที่สินทรัพย์อาจถูกซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) ประกอบไปด้วย 3 เส้นหลัก ได้แก่
โดยรวมแล้วเมื่อความผันผวนของตลาดเพิ่มขึ้น เส้น Bollinger Bands จะ “ขยายออก” และเมื่อความผันผวนลดลง เส้นจะ “แคบลง”
5. Fibonacci Retracement
Fibonacci Retracement อินดิเคเตอร์ที่ถูกค้นพบโดยนักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลีที่มีชื่อว่า Leonardo Fibonacci ใช้เพื่อ “หา” จุดเข้าออกในการเทรดและแนวรับ แนวต้าน รวมถึงวาง Stop Lossในโซนที่ราคาสินทรัพย์อาจหยุดชะงัก กลับตัว หรือเคลื่อนไหวต่อไปตามแนวโน้ม
หนึ่งใน Indicator ที่เทรดเดอร์คริปโตใช่บ่อยที่สุด เพราะช่วยปรับกราฟให้ราคาดูเรียบขึ้น และเห็นถึงแนวโน้มของตลาดได้ชัดเจน นักเทรดสามารถใช้ MA เพื่อจังจังหวะซื้อขาย และดูว่าราคาอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง
วิธีใช้:
เครื่องมือชี้วัดยอดนิยมที่ใช้วัดโมเมนตัมของราคา ทั้งทิศทางและความแรงในการเคลื่อนไหว
วิธีใช้:
อินดิเคเตอร์ที่ช่วยวัดความแรงของราคาระยะสั้นของตลาดคริปโต ทั้งทิศทางและความเร็วของการเปลี่ยนแปลงราคาให้แม่นยำยิ่งขึ้น
วิธีใช้:
การใช้ Indicator ในการเทรดนั้นไม่ได้ให้ผลที่แม่นยำ 100% แต่เป็นเพียงตัวช่วยวิเคราะห์ที่นักลงทุนควรใช้ร่วมกับการอ่านแนวโน้มของราคาและข่าวสารตลาด เพื่อให้เกิดผลลัพทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นักเทรดบางคนมักใช้ 2-4 เครื่องมือประกอบกัน ในขณะที่บางคนใช้อาจมากกว่า 5 ตัวเพื่อช่วยยืนยันในสัญญาณในการซื้อขาย ดังนั้นจึงไม่มีจำนวน Indicator ที่ตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น กลยุทธ์ในการเทรด, ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และสไตล์การเทรดของแต่ละคน
การพึ่งพา Indicator เพียงตัวเดียว อาจทำให้เกิดสัญญาณเทรดที่ผิดพลาดได้ เพื่อเพิ่มความแม่นยำของผลลัพธ์เทรดเดอร์ควรใช้หลาย Indicator ร่วมกันพร้อมกับการวิเคราะห์แนวโน้มราคา, แนวรับ แนวต้าน และ Volumn เพื่อช่วยตัดสินใจเทรดได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
ไม่มี Indicator ตัวไหนที่ให้ความแม่นยำ 100% เพราะการเลือกใช้งานขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรด ช่วงเวลา และสินทรัพย์ที่เทรด
Indicator เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักลงทุนที่ช่วยให้เข้าใจ Trend, แรงซื้อแรงขาย และความผันผวนของตลาด แม้เครื่องมือเหล่านี้สามารถช่วยเสริมการตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม ควรใช้ควบคู่กับความเข้าใจพื้นฐานของตลาดพร้อมปรับการใช้อินดิเคเตอร์ให้เหมาะกับสไตล์และวัตถุประสงค์ของแต่ละคน
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด
อ้างอิง