Share this
Indicator คืออะไร? แนะนำเครื่องมือวิเคราะห์กราฟที่นักลงทุนต้องรู้
ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยความผันผวน ราคาสามารถพุ่งขึ้นสูงในชั่วข้ามคืน หรือร่วงดิ่งลงในเวลาไม่กี่นาที สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่แล้วเหมือนกำลังเดินอยู่ในเขาวงกตที่ทำให้เกิดความสับสนว่าจะเข้าซื้อเมื่อไหร่? หรือ ขายตอนไหนถึงจะคุ้มที่สุด? ซึ่งสิ่งที่จะช่วยให้จับจังหวะการซื้อขายของตลาดได้ก็คือ “Indicator” หรือ “เครื่องมือวิเคราะห์เชิงเทคนิค” บทความนี้จะพาไปเรียนรู้ Indicator ทั้งความหมายและวิธิใช้ที่นักลงทุนมือใหม่ต้องรู้!
Indicator คืออะไร
Indicator คือ เครื่องมือวิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical Analysis Tool) ที่ช่วยประเมินแนวโน้มราคา หาจังหวะเข้าออกตลาด และสัญญาณซื้อขาย เปรียบได้กับตัวช่วยที่ทำให้เข้าใจพฤติกรรมราคา แนวโน้มตลาด และจังหวะการเทรดที่เหมาะสม ทำให้นักเทรดไม่ว่าจะมือใหม่ หรือมือโปรก็สามารถที่จะตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมีแม่นยำมากขึ้น
ประเภทของ Indicator
1. Leading Indicator ชี้แนวโน้มล่วงหน้า
Leading Indicator คือ ตัวชี้วัดที่ใช้ “คาดการณ์” การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต โดยทำหน้าที่เป็น “ตัวนำ” การเคลื่อนไหวของราคาและส่งสัญญาณก่อนที่แนวโน้มหรือการกลับตัวจะเกิดขึ้นจริง ทำให้นักเทรดสามารถเข้าออเดอร์ได้ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการเคลื่อนไหว และอาจสร้างกำไรสูงสุด แต่มีจุดอ่อนคือ มักมี False Singal หรือสัญญาณหลอกบ่อยครั้ง
ตัวอย่าง Leading Indicator เช่น
- Relative Strength Index (RSI)
- Fibonacci Retracement
- On-Balance Volume (OBV)
- Pivot Points
- Stochastic Oscillator
2. Lagging Indicator ยืนยันแนวโน้มที่เกิดขึ้นแล้ว
Lagging Indicator คือ ตัวชี้วัดที่สะท้อนสิ่งที่ “เกิดขึ้นแล้ว” โดยทำหน้าที่เป็น “ตัวตาม” การเคลื่อนไหวของราคาและส่งสัญญาณหลังจากที่แนวโน้มหรือการกลับตัวเกิดขึ้นแล้ว ช่วยให้นักเทรดมั่นใจได้ว่าแนวโน้มปัจจุบันยังดำเนินอยู่ และสามารถเข้าเทรดตามทิศทางตลาดที่ชัดเจนได้ มีจุดอ่อนคือ มักให้สัญญาณช้า ซึ่งอาจทำให้พลาดการเคลื่อนไหวของราคาใหญ่
ตัวอย่าง Lagging Indicator เช่น
- Moving Averages (MA)
- Simple Moving Average (SMA)
- Bollinger Bands
- Moving Average Convergence Divergence (MACD)
- Average Directional Index (ADX)
เห็นได้ชัดว่า Leading และ Lagging Indicator มีความแตกต่างกันในเชิงของจังหวะในการให้สัญญาณ และวัตถุประสงค์ของการใช้งาน ดังนั้น การเลือกใช้ให้เหมาะกับสไตล์เทรดจะช่วยให้การวิเคราะห์มีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้น
Indicator ยอดนิยมที่นักลงทุนควรรู้
1. Moving Average (MA)
Indicator ประเภท Trend-Following ที่ใช้ติดตามแนวโน้ม หรือที่รู้จักกันว่า “เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่” โดยอ้างอิงจริงราคาย้อนหลังในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่ง MA จะช่วยในการ “หา” ค่าเฉลี่ย “ปรับ” ความผันผวนของราคาสินทรัพย์ พร้อม “ระบุ” ทิศทางของตลาดว่ากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง ทำให้นักเทรดสามารถหาจุดเข้าออกในการเทรดได้อย่างแม่นยำ
2. Relative Strength Index (RSI)
Indicator ประเภท Momentum Oscillator ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย J.Welles Wilder Jr. ในปี 1978 ซึ่งจะช่วยวัด “ความเร็ว” และ “การเปลี่ยนแปลง” ของราคา RSI มีค่ามาตราฐานอยู่ระหว่าง 0-100 โดยหาก RSI อยู่ต่ำกว่า 30 หมายความว่าเกิดแรงขายจำนวนมากทำให้ราคาลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอยู่ในภาวะขายมากเกินไป (Oversold) และหากค่า Relative Strength Index (RSI) มากกว่า 70 จะแสดงถึงแรงซื้อที่รุนแรง ทำให้ราคาปรับตัวขึ้นสูงกว่าปกติ และอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought)
3. Moving Average Convergence Divergence (MACD)
Indicator ที่สร้างขึ้นโดย Gerald Appel ในปี 1970s โดย MACD จะช่วยให้นักลงทุนสามารถ “วิเคราะห์” เทรนด์แนวโน้มของราคาและโมเมนตัม เพื่อระบุจุดเข้าซื้อ (Buy) และจุดขายออก (Buy) โดย เส้น MACD จะคำนวณจากการนำค่า EMA (Exponential Moving Average) ของระยะเวลา 26 วัน มาลบออกจากค่า EMA ระยะเวลา 12 วัน เหมาะสำหรับการหาจุดกลับตัวของแนมโน้มและจังหวะซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพ
4. Bollinger Bands
Indicator ที่ถูกสร้างขึ้นโดย John Bollinger ใช้ในการวัด “ระดับ” ความผันผวนของราคาและช่วยระบุภาวะที่สินทรัพย์อาจถูกซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) ประกอบไปด้วย 3 เส้นหลัก ได้แก่
- เส้นบน (Upper Band) คือ เส้นที่อยู่เหนือ SMA ขึ้นไปตามจำนวนค่าเบี่ยงเบนมาตราฐาน หากราคาขึ้นไปใกล้หรือทะลุเส้นบน อาจแสดงถึงภาวะ Overbought
- เส้นกลาง (Middle Band) คือ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Simple Moving Average (SMA) ทำหน้าที่เป็นฐานที่สะท้อนราคากลาง ณ ช่วงเวลานั้น
- เส้นล่าง (Lower Band) คือ เส้นที่อยู่ต่ำกว่า SMA ลงไปตามจำนวนค่าเบี่ยงเบนมาตราฐานเท่ากันกับเส้นบน หากราคาลงไปใกล้หรือทะลุเส้นล่าง อาจแสดงถึงภาวะ Oversold
โดยรวมแล้วเมื่อความผันผวนของตลาดเพิ่มขึ้น เส้น Bollinger Bands จะ “ขยายออก” และเมื่อความผันผวนลดลง เส้นจะ “แคบลง”
5. Fibonacci Retracement
Fibonacci Retracement อินดิเคเตอร์ที่ถูกค้นพบโดยนักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลีที่มีชื่อว่า Leonardo Fibonacci ใช้เพื่อ “หา” จุดเข้าออกในการเทรดและแนวรับ แนวต้าน รวมถึงวาง Stop Lossในโซนที่ราคาสินทรัพย์อาจหยุดชะงัก กลับตัว หรือเคลื่อนไหวต่อไปตามแนวโน้ม
วิธีใช้ Indicator ในการวิเคราะห์
- เลือกให้เหมาะกับเป้าหมายการเทรด
- ใช้หลายกรอบเวลาเพื่อให้เห็นภาพรวมและแนวโน้มหลัก เช่น รายวัน, รายสัปดาห์, รายเดือน วิธีนี้จะช่วยให้เห็นภาพรวมของตลาด และสามารถจับจังหวัการกลับตัวหรือ Breakout ได้ชัดเจน
- ผสมผสาน Indicator หลายตัวร่วมกัน เพื่อให้การเทรดมีความแม่นยำมากขึ้น และลดการเกิดสัญญาณหลอก
- เรียนรู้จากนักเทรดและนักวิเคราะห์คนอื่น ๆ เพื่อให้ได้รับมุมมองหรือไอเดียใหม่ในการลงทุน และวิธิการใช้ Indicator อย่างมีประสิทธิภาพ
- ใช้ตัวชี้วัดควบคู่กับการบริหารความเสี่ยง เช่น กำหนด Stop Loss เพื่อป้องกันการขาดทุนระหว่างการเทรด พร้อมจัดสรรเงินลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสม ไม่ลงทุนมากเกินไปในตำแหน่งเดียว
Indicator ที่นิยมในตลาดคริปโต
1. Moving Average (MA)
หนึ่งใน Indicator ที่เทรดเดอร์คริปโตใช่บ่อยที่สุด เพราะช่วยปรับกราฟให้ราคาดูเรียบขึ้น และเห็นถึงแนวโน้มของตลาดได้ชัดเจน นักเทรดสามารถใช้ MA เพื่อจังจังหวะซื้อขาย และดูว่าราคาอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง
วิธีใช้:
- ยืนยันแนวโน้มว่าอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง
- หากเส้น MA มีทิศทางขึ้น บ่งบอกถึงราคาว่ากำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
- หากเส้น MA มีทิศทางลง บ่งบอกถึงราคาว่ากำลังอยู่ในแนวโน้มขาลง
- สัญญาณตัดกันของ MA
- เส้น MA ระยะสั้นตัดขึ้นเหนือเส้น MA ระยะยาว บ่งบอกถึง สัญญาณซื้อ (Golden Cross)
- เส้น MA ระยะสั้นตัดลงต่ำกว่าเส้น MA ระยะยาว บ่งบอกถึง สัญญาณขาย (Death Cross)
- ใช้เป็นแนวรับ แนวต้าน เพื่อระบุจุดเข้าซื้อและจุดขายที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้
2. Moving Average Convergence Divergence (MACD)
เครื่องมือชี้วัดยอดนิยมที่ใช้วัดโมเมนตัมของราคา ทั้งทิศทางและความแรงในการเคลื่อนไหว
วิธีใช้:
- ระบุสัญญาณซื้อ-ขาย
-
- สัญญาณซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น MACD ตัดขึ้นเหนือ Signal Line แสดงถึงโมเมนตัมขาขึ้นและเป็นเวลาเหมาะสมในการซื้อ
- สัญญาณขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น MACD ตัดลงต่ำกว่า Signal Line แสดงถึงโมเมนตัมขาลงและเป็นเวลาเหมาะสมในการขาย
- พิจารณา Divergence ว่าอยู่ใน Bullish Divergence หรือ Bearish Divergence
- ใช้ Histogram วัดโมเมตัม ที่แสดงส่วนต่างของ MACD Line แลพ Signal Line โดยขนาดของบาร์จะชึ้ให้เห็นถึงความแรงของเทรนด์
- ใช้สัญญาณ Overbought/Oversold นักเทรดโดยมักจะใช้ร่วมกับ RSI เพื่อประเมินสภาวะนี้อย่างแม่นยำ
3. Relative Strength Index (RSI)
อินดิเคเตอร์ที่ช่วยวัดความแรงของราคาระยะสั้นของตลาดคริปโต ทั้งทิศทางและความเร็วของการเปลี่ยนแปลงราคาให้แม่นยำยิ่งขึ้น
วิธีใช้:
- ระบุสภาวะการซื้อ-ขาย โดยสังเกตโซน Overbought (ค่าสูงกว่า 70) และ Oversold (ค่าต่ำกว่า 30)
- หาสัญญาณ Divergence ระหว่างราคาและ RSI เพื่อคาดเดาการกลับตัวของราคา
- ใช้ RSI ร่วมกับแนวรับ แนวต้าน (Support & Resistance) เพื่อระบุจุดที่แรงซื้อและแรงขายมักเกิดขึ้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Indicator
-
Indicator ใช้แล้วแม่นไหม
การใช้ Indicator ในการเทรดนั้นไม่ได้ให้ผลที่แม่นยำ 100% แต่เป็นเพียงตัวช่วยวิเคราะห์ที่นักลงทุนควรใช้ร่วมกับการอ่านแนวโน้มของราคาและข่าวสารตลาด เพื่อให้เกิดผลลัพทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
-
ต้องใช้ Indicator กี่ตัวถึงจะเพียงพอ
นักเทรดบางคนมักใช้ 2-4 เครื่องมือประกอบกัน ในขณะที่บางคนใช้อาจมากกว่า 5 ตัวเพื่อช่วยยืนยันในสัญญาณในการซื้อขาย ดังนั้นจึงไม่มีจำนวน Indicator ที่ตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น กลยุทธ์ในการเทรด, ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และสไตล์การเทรดของแต่ละคน
-
ใช้ Indicator อย่างเดียวพอไหม
การพึ่งพา Indicator เพียงตัวเดียว อาจทำให้เกิดสัญญาณเทรดที่ผิดพลาดได้ เพื่อเพิ่มความแม่นยำของผลลัพธ์เทรดเดอร์ควรใช้หลาย Indicator ร่วมกันพร้อมกับการวิเคราะห์แนวโน้มราคา, แนวรับ แนวต้าน และ Volumn เพื่อช่วยตัดสินใจเทรดได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
-
Indicator ตัวไหนแม่นยำที่สุด
ไม่มี Indicator ตัวไหนที่ให้ความแม่นยำ 100% เพราะการเลือกใช้งานขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรด ช่วงเวลา และสินทรัพย์ที่เทรด
Conclusion
Indicator เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักลงทุนที่ช่วยให้เข้าใจ Trend, แรงซื้อแรงขาย และความผันผวนของตลาด แม้เครื่องมือเหล่านี้สามารถช่วยเสริมการตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม ควรใช้ควบคู่กับความเข้าใจพื้นฐานของตลาดพร้อมปรับการใช้อินดิเคเตอร์ให้เหมาะกับสไตล์และวัตถุประสงค์ของแต่ละคน
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด
อ้างอิง
Share this
- ตุลาคม 2025 (17)
- กันยายน 2025 (18)
- สิงหาคม 2025 (22)
- กรกฎาคม 2025 (37)
- มิถุนายน 2025 (33)
- พฤษภาคม 2025 (27)
- เมษายน 2025 (41)
- มีนาคม 2025 (22)
- กุมภาพันธ์ 2025 (33)
- มกราคม 2025 (9)
- ธันวาคม 2024 (10)
- พฤศจิกายน 2024 (8)
- ตุลาคม 2024 (9)
- กันยายน 2024 (9)
- สิงหาคม 2024 (15)
- กรกฎาคม 2024 (2)
- มิถุนายน 2024 (46)
Subscribe by email

ATH คืออะไร? อธิบาย All Time High ที่นักลงทุนคริปโตควรรู้

Inflation คืออะไร? ทำความเข้าใจเงินเฟ้อและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

Indicator คืออะไร? แนะนำเครื่องมือวิเคราะห์กราฟที่นักลงทุนต้องรู้

Slippage คืออะไร? เข้าใจสาเหตุและวิธีหลีกเลี่ยงในตลาดคริปโตฯ

ญี่ปุ่นพิจารณาอนุญาตให้ธนาคารเปิดบริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล

พบกับ Story (IP) บล็อกเชนที่เชื่อมโลกของทรัพย์สินทางปัญญาเข้ากับเศรษฐกิจดิจิทัลสำหรับครีเอเตอร์

พบกับ Pump.fun (PUMP) จุดศูนย์กลางของกระแสมีมครั้งใหญ่บน Solana

ตลาดคริปโตเกิด Liquidation ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 19,240 ล้านดอลลาร์

Bitazza Thailand x Tether: เรียนรู้และทำภารกิจ รับ 25 USDT (มูลค่า 800 บาท)*

