Bitazza Thailand Blog

FOMO คืออะไร? ความหมาย สาเหตุ และผลกระทบต่อการลงทุนคริปโต

เขียนโดย Bitazza Team - 28 ต.ค. 2025, 3:28:36

 

ในโลกของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ตลาดคริปโต หรือสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เรามักจะได้ยินคำว่า “FOMO” อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่กำลังเริ่มศึกษาและเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ คำว่า FOMO หรือ Fear of Missing Out เป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการตัดสินใจของนักลงทุนหลายคน บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความหมายของ FOMO อย่างลึกซึ้ง สาเหตุที่ทำให้เกิดความรู้สึกนี้ และที่สำคัญคือแนวทางในการจัดการกับมันอย่างมีประสิทธิภาพ

 

FOMO คืออะไร

FOMO ย่อมาจาก Fear of Missing Out หมายถึง ความกลัวที่จะพลาดโอกาส เป็นภาวะทางจิตวิทยาที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีความรู้สึกวิตกกังวลว่าคนอื่น ๆ กำลังได้รับประสบการณ์ที่ดี มีความสุข หรือประสบความสำเร็จจากบางสิ่งบางอย่างที่ตนเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น ในบริบทของการลงทุน FOMO คือความกลัวว่าจะพลาดโอกาสทำกำไร เมื่อเห็นราคาของสินทรัพย์บางอย่างพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีข่าวลือหรือกระแสความนิยมจากคนรอบข้าง ความรู้สึกนี้จะกระตุ้นให้นักลงทุนรีบตัดสินใจซื้อสินทรัพย์นั้น ๆ โดยไม่ได้พิจารณาข้อมูลอย่างถี่ถ้วน

 

 

ตัวอย่าง FOMO ในการลงทุน

FOMO เกิดขึ้นได้ในการลงทุนทุกสินทรัพย์ โดยเฉพาะสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง หรือซื้อขายได้ง่าย ทำให้นักลงทุนตัดสินใจที่จะซื้อหรือขายได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที 

  • FOMO ในตลาดคริปโต

ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีขึ้นชื่อเรื่องความผันผวนสูงและมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว หลายครั้งที่เราจะเห็นเหรียญบางเหรียญราคาพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในระยะเวลาสั้น ๆ เช่น หากมีข่าวว่าเหรียญ A กำลังถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดียและราคาพุ่งขึ้นไป 50% ในหนึ่งวัน นักลงทุนที่เห็นเหตุการณ์นี้และไม่ได้ถือครองเหรียญ A อยู่ อาจจะเกิดความรู้สึก FOMO และรีบเข้าซื้อทันทีด้วยความกลัวว่าจะพลาดโอกาสทำกำไรก้อนโต โดยที่ไม่ได้ศึกษาปัจจัยพื้นฐานของเหรียญนั้นเลย

  • FOMO ในตลาดหุ้น

ปรากฏการณ์ FOMO ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในตลาดคริปโตเท่านั้น ในตลาดหุ้นก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีข่าวว่าหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่งกำลังจะมีการประกาศผลประกอบการที่ดีเยี่ยมและมีกระแสข่าวเชิงบวกออกมามากมาย นักลงทุนจำนวนมากอาจจะรีบเข้าซื้อหุ้นตัวนั้นโดยหวังว่าราคาจะพุ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้ ทำให้เกิดการซื้อขายที่หนาแน่นผิดปกติและราคาอาจพุ่งสูงขึ้นกว่าความเป็นจริงจากกระแส FOMO นี้

 

ผลกระทบของ FOMO ในการลงทุน

FOMO ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนในหลายมิติ โดยเฉพาะการตัดสินใจที่ขาดความยั้งคิด ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงในการขาดทุนที่สูงขึ้น

  1. ตัดสินใจอย่างขาดสติ: เมื่อตกอยู่ภายใต้ความรู้สึก FOMO นักลงทุนมักจะรีบตัดสินใจซื้อหรือขายสินทรัพย์โดยไม่ทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่เพียงพอ โดยมักจะเชื่อตามข่าวลือหรือกระแสความนิยมจากคนรอบข้างเป็นหลัก ทำให้การตัดสินใจนั้นอิงอยู่กับอารมณ์มากกว่าเหตุผล
  2. ซื้อที่ราคาสูงสุด: FOMO มักจะทำให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ในช่วงที่ราคาพุ่งสูงไปแล้ว หรือที่เรียกกันว่า “เข้าดอย” เนื่องจากราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความกลัวที่จะพลาด เมื่อนักลงทุนจำนวนมากเข้าซื้อพร้อมกัน ราคาจึงอาจพุ่งสูงเกินกว่ามูลค่าที่แท้จริง และเมื่อกระแสความนิยมลดลง ราคาจะปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว ทำให้นักลงทุนที่ซื้อตอนราคาสูงต้องขาดทุน
  3. การขาดทุนอย่างรุนแรง: การตัดสินใจที่ไม่รอบคอบและเข้าซื้อสินทรัพย์ในราคาสูงจะนำไปสู่ความเสี่ยงในการขาดทุนที่สูงมาก หากราคาปรับตัวลง นักลงทุนอาจต้องขายสินทรัพย์ออกไปในราคาที่ต่ำกว่าทุนเพื่อลดการขาดทุน ทำให้สูญเสียเงินลงทุนไปอย่างน่าเสียดาย
  4. ความเครียดและวิตกกังวล: การลงทุนที่อยู่บนพื้นฐานของอารมณ์ FOMO ทำให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวลอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนจะรู้สึกกดดันที่ต้องติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดตลอดเวลา และรู้สึกผิดหวังเมื่อพลาดโอกาสที่คิดว่าควรจะคว้าไว้ได้แล้ว

 

 

วิธีจัดการ FOMO ในการลงทุน

การจัดการกับ FOMO เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีสติและลดความเสี่ยงจากการขาดทุน

1. วางแผนก่อนลงทุน (Investment Plan)

ก่อนที่จะเริ่มลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ ควรมีการวางแผนการลงทุนที่ชัดเจน กำหนดเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลา และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การมีแผนจะช่วยให้นักลงทุนยึดมั่นในวินัยและไม่หวั่นไหวไปกับกระแสที่เกิดขึ้นชั่วคราว

2. ตั้งเป้าหมายและ Stop Loss

ก่อนที่จะเข้าซื้อสินทรัพย์ ควรตั้งเป้าหมายทำกำไร (Take Profit) และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ที่ชัดเจน เมื่อราคาถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็ควรทำกำไรตามแผน และหากราคาปรับตัวลงถึงจุดที่กำหนดไว้ก็ควรขายออกเพื่อจำกัดการขาดทุน การทำตามแผนที่วางไว้จะช่วยป้องกันไม่ให้เราตัดสินใจตามอารมณ์ FOMO

3. ลงทุนแบบแบ่งไม้ (DCA)

การลงทุนแบบ DCA หรือ Dollar-Cost Averaging เป็นการทยอยลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่า ๆ กันในระยะเวลาที่สม่ำเสมอ วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเข้าซื้อในจังหวะที่ไม่เหมาะสม และยังช่วยให้ได้ราคาเฉลี่ยที่เหมาะสมในระยะยาว การลงทุนแบบ DCA ช่วยให้นักลงทุนไม่ต้องกังวลว่าต้องเข้าซื้อในราคาที่เหมาะสมที่สุด และช่วยลดความกดดันจาก FOMO ได้เป็นอย่างดี

4. พิจารณาข้อมูลและวิเคราะห์ก่อนตัดสินใจ

สิ่งสำคัญที่สุดคือการใช้ข้อมูลและเหตุผลในการตัดสินใจลงทุนเสมอ อย่าเพิ่งรีบเชื่อข่าวลือหรือกระแสความนิยม ควรศึกษาปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์นั้น ๆ และวิเคราะห์ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง

5. รู้จักรอและอดทน

การลงทุนที่ดีต้องใช้เวลาและความอดทน ตลาดมีความผันผวนอยู่เสมอ และโอกาสในการลงทุนไม่ได้มีแค่เพียงครั้งเดียว การรู้จักรอคอยจังหวะที่เหมาะสมและไม่รีบเร่งจะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างรอบคอบและลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจด้วยอารมณ์

 

 

FOMO ในชีวิตประจำวัน

นอกเหนือจากการลงทุน FOMO ยังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันในยุคโซเชียลมีเดีย เรามักจะเห็นเพื่อน ๆ ไปเที่ยวในสถานที่สวยงาม ซื้อของใหม่ หรือใช้ชีวิตที่ดูดี ทำให้เกิดความรู้สึกเปรียบเทียบและกลัวว่าจะพลาดสิ่งดี ๆ ในชีวิต ปรากฏการณ์นี้มีรากฐานมาจากความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและไม่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ซึ่งเป็นกลไกทางจิตวิทยาเดียวกับที่เกิดขึ้นในตลาดการลงทุน

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคำว่า FOMO

  • FOMO คืออะไรในภาษาไทย

FOMO หรือ Fear of Missing Out ในภาษาไทยหมายถึง ความกลัวที่จะพลาดโอกาส

  • FOMO ต่างกับ Greed อย่างไร

FOMO คือความกลัวที่จะพลาดโอกาสทำกำไร ในขณะที่ Greed หรือความโลภคือความต้องการที่จะได้กำไรให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งสองอย่างนี้มักเกิดขึ้นควบคู่กัน เมื่อนักลงทุนรู้สึก FOMO และเข้าซื้อสินทรัพย์ในราคาสูง ความโลภจะเข้าครอบงำให้ถือสินทรัพย์นั้นต่อโดยหวังว่าจะได้กำไรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ยอมขายทำกำไรตามแผน

  • ทำไม FOMO ถึงเกิดกับนักลงทุนมือใหม่มากที่สุด

นักลงทุนมือใหม่มักจะขาดประสบการณ์และวินัยในการลงทุน ทำให้ตัดสินใจตามอารมณ์และกระแสได้ง่ายกว่า อีกทั้งยังขาดความรู้และข้อมูลที่เพียงพอในการวิเคราะห์ ทำให้ต้องพึ่งพาข้อมูลจากแหล่งข่าวหรือคนอื่น ๆ เป็นหลัก จึงมีแนวโน้มที่จะเกิด FOMO ได้ง่ายกว่านักลงทุนที่มีประสบการณ์

  • จะลดความเสี่ยงจาก FOMO ได้อย่างไร

วิธีลดความเสี่ยงจาก FOMO คือการสร้างวินัยในการลงทุน ตั้งแผนการลงทุนที่ชัดเจน ศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน และไม่ตัดสินใจตามอารมณ์หรือกระแสของตลาด

 

Conclusion

FOMO เป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่มีผลกระทบอย่างมากต่อการตัดสินใจของนักลงทุน การทำความเข้าใจความหมายและผลกระทบของมันเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างวินัยในการลงทุน การจัดการกับความกลัวที่จะพลาดโอกาสนี้ไม่ได้หมายถึงการหลีกเลี่ยงการลงทุน แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะตัดสินใจอย่างมีสติและอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลมากกว่าอารมณ์ เพื่อให้การลงทุนของคุณเป็นไปอย่างยั่งยืนและมั่นคงในระยะยาว

 

 

คำเตือน

*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด

 

อ้างอิง