Bitazza Thailand Blog

Current Ratio คืออะไร? รู้จักตัวชี้วัดสภาพคล่องที่นักลงทุนเลือกใช้

เขียนโดย Bitazza Team - 19 เม.ย. 2025, 15:30:55

 

ในโลกของการลงทุนและการวิเคราะห์ธุรกิจ หนึ่งในปัจจัยที่นักลงทุนควรพิจารณาและให้ความสนใจ คือ สภาพคล่องทางการเงินของบริษัท ที่สะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นและการอยู่รอดของบริษัทนั้น ๆ “Current Ratio” หรือ “อัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเวียน” คือ หนึ่งในตัวชี้วัดที่ได้รับความนิยมในการแสดงถึงความมั่นคงของธุรกิจ และประเมินว่าบริษัทมีความสามารถเพียงพอในการชำระหนี้สินระยะสั้นหรือไม่ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Current Ratio อย่างละเอียด พร้อมตัวอย่างวิธีการคำนวณ และแนวทางการใช้เพื่อช่วยให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

Current Ratio คืออะไร

Current Ratio คือ อัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเวียนที่เป็นตัวชี้วัดความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น (Short-term Liabilities) ที่ต้องชำระไม่เกิน 12 เดือน โดยใช้สินทรัพย์ระยะสั้นของบริษัท (Short-term Assets) หรืออธิบายง่าย ๆ ได้ว่า Current Ratio เป็นอัตราส่วนที่ใช้ประเมินสุขภาพทางการเงินโดยรวมของบริษัท ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีหรือไม่นั่นเอง

 

 

วิธีคำนวณ Current Ratio

  • สูตรการคำนวณ Current Ratio

Current Ratio = สินทรัพย์หมุนเวียน/หนี้สินหมุนเวียน 

ค่าที่ได้จากการคำนวณนี้จะแสดงถึงความสามารถของบริษัทในชำระหนี้สินระยะสั้น ผ่านการใช้สินทรัพย์หมุนเวียนของบริษัท

  • ความหมายของตัวแปรในสูตร

จากสูตรการคำนวณอัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเวียน ตัวแปรแต่ละตัวมีความหมาย ดังนี้

    • สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets) แสดงถึงสินทรัพย์ที่คาดว่าจะเปลี่ยนเป็นเงินสดหรือถูกใช้หมดไปภายใน 12 เดือน เช่น เงินสด เงินลงทุนระยะสั้น บัญชีลูกหนี้ สินค้าคงคลัง ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า

    • หนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities) คือ ภาระผูกพันระยะสั้นของบริษัทที่ต้องชำระภายใน 12 เดือนข้างหน้า เช่น เงินกู้จากธนาคาร เจ้าหนี้การค้า เงินปันผลค้างชำระ ตั๋วเงินจ่าย ค่าเช่า ค่าจ้าง ภาษีค้างชำระ 
  • ตัวอย่างการคำนวณ Current Ratio

บริษัท ABC มีข้อมูลทางการเงิน ดังนี้

สินทรัพย์หมุนเวียน = 300,000 บาท
หนี้สินหมุนเวียน = 150,000 บาท

 

เมื่อนำมาคำนวณตามสูตร Current Ratio จะได้ 

Current Ratio = 300,000/150,000 = 2.0

นั่นหมายความว่า บริษัท ABC มีสินทรัพย์หมุนเวียนเป็น 2 เท่า ของหนี้สินหมุนเวียน ซึ่งทำให้บริษัท ABC มีความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นได้อย่างเพียงพอ

 

การวิเคราะห์ค่า Current Ratio

  • ค่า Current Ratio ที่เหมาะสมคือเท่าไหร่?

เมื่อเราสามารถคำนวณอัตราส่วนได้แล้ว ในส่วนถัดไปคือ การวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้ หากบริษัทมี Current Ratio น้อยกว่า 1.0 แสดงว่าบริษัทมีสัญญาณที่น่ากังวล เนื่องจากมีเงินทุนหมุนเวียนไม่พอ และมีหนี้สิ้นมากกว่าเมื่อเทียบกับมูลค่าของสินทรัพย์หมุนเวียน ส่งผลถึงความสามารถในการชำระหนี้ รวมถึงสภาพคล่องของบริษัทโดยตรง 

ในทางกลับกันหากผลลัพธ์ของ Current Ratio มากกว่า 1.0 หมายความว่าบริษัทนั้นมีเงินสดเพียงพอที่จะสามารถชำระหนี้ระยะสั้นได้โดยไม่มีปัญหาสภาพคล่อง อย่างไรก็ตามหากค่าของ Current Ratio สูงเกินไป อาจแสดงถึงปัญหาในการบริหารสินทรัพย์หมุนเวียนของบริษัทได้ เช่น บริษัทอาจมีเงินสดค้างสูงเกินความจำเป็น แทนที่จะนำไปลงทุนให้เกิดผลตอบแทน หรือ มีลูกหนี้การค้าสูงเกินไป อาจแสดงถึงความสามารถในการเรียกเก็บหนี้และกระเงินสดติดขัดในระยะยาว ทั้งนี้ค่าของ Current Ratio จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับค่าเฉลี่ยของแต่ละอุตสาหกรรม

 

  • การเปรียบเทียบ Current Ratio ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

เนื่องจากแต่ละอุตสาหกรรมมีการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ค่าของ Current Ratio มีความแตกต่างตามกันไป ยกตัวอย่าง เช่น 

    • อุตสาหกรรมค้าปลีก (Retail Industry): มักมีสินค้าคงเหลือหมุนเวียนเร็ว เพื่อให้มั่นใจในความพร้อมของสินค้า และตอบสนองลูกค้าได้ทันที ทำให้มี Current Ratio ที่ค่อนข้างต่ำกว่าอุตสาหกรรมอื่น
    • อุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing Industry): ในอุตสาหกรรมนี้มักมี Current Ratio สูง เนื่องจากมีสินค้าคงคลัง วัตถุดิบหรือวัสดุต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตสินค้าจำนวนมาก
    • อุตสากรรมเทคโนโลยี (Technology Industry): มักมีสินค้าคงคลังน้อย เนื่องจากมีสินทรัพย์ที่จับต้องไม่สามารถจับต้องได้ เช่น ซอฟต์แวร์ และมีการหมุนเวียนทรัพย์สินที่รวดเร็ว ทำให้มี Current Ratio ต่ำ

ดังนั้น Current Ratio จึงควรใช้เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของบริษัทหรือธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์สูงสุด

 

 

ข้อดีและข้อจำกัดของ Current Ratio

ข้อดีของการใช้ Current Ratio ในการวิเคราะห์ธุรกิจ

  • สะท้อนสภาพคล่องของบริษัท: การใช้ Current Ratio เป็นการชี้ให้เห็นถึงภาพรวมทางการเงินและความสามารถของบริษัทในการชำระหนี้ระยะสั้นได้อย่างรวดเร็ว
  • ประเมินความเสี่ยงของความสามารถในการชำระหนี้: นักลงทุนสามารถใช้ Current Ratio เพื่อตรวจสอบว่าบริษัทมีความเสี่ยงในการชำระหนี้สูงหรือต่ำ
  • เครื่องมือเปรียบเทียบ: สามารถใช้ Current Ratio ในการเปรียบเทียบสภาพคล่องระหว่างบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อวิเคราะห์ความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทต่าง ๆ และประเมินความสามารถในการรับมือกับปัญหาทางการเงินได้
  • ให้ข้อมูลเชิงลึกแก่ผู้ลงทุน: นักลงทุนสามารถใช้ Current Ratio สำหรับการประเมินความสามารถของบริษัทในการชำระหนี้และภาระผูกพันทางการเงิน ที่มีผลในการตัดสินใจลงทุน การปล่อยสินเชื้อ และความน่าเชื่อถือทางการเงินของบริษัท

ข้อจำกัดของ Current Ratio และข้อควรระวัง

  • ความแตกต่างของแต่ละอุตสาหกรรม: การใช้ Current Ratio นั้นไม่สามารถนำไปใช้ได้กับทุกอุตสาหกรรม เนื่องจากแต่ละอุตสาหกรรมมีค่ามาตราฐาน โครงสร้างสินทรัพย์ และหนี้สินที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเปรียบเทียบในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน อาจไม่ก่อให้เกิดข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์แก่นักลงทุน 
  • ไม่สะท้อนหนี้สินระยะยาว: ตัวชี้วัดอัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเวียน เป็นเพียงการแสดงให้เห็นถึงภาพรวมทางการเงิน ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ที่ไม่ได้สะท้อนถึงคุณภาพของสินทรัพย์หและการจัดการในเรื่องของหนี้สินระยะยาวอย่างแท้จริง
  • โอกาสในการตีความผิดพลาด: Current Ratio ที่สูง อาจหมายถึงธุรกิจหรือบริษัทนั้นมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี และมีความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว บริษัทที่มี Current Ratio สูง อาจเพราะมีหนี้สินต่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนที่ต่ำในบริษัท ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงินที่รุนแรงได้ 

 

 

ความแตกต่างระหว่าง Current Ratio, Quick Ratio และ Cash Ratio แต่ละตัวชี้วัดเหมาะกับการใช้งานแบบไหน?

เมื่อต้องวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน นอกจาก Current Ratio แล้ว ยังมีอัตราส่วนอื่น ๆ ที่นักลงทุนควรใช้เพื่อพิจารณาควบคู่กันไป ได้แก่ Quick Ratio และ Cash Ratio โดยแต่ละอัตราส่วนนั้น มีความแตกต่างและการใช้งาน ดังนี้

  • Current Ratio (อัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเวียน): 

ตัวชี้วัดเกี่ยวกับความสามารถของบริษัทในการชำระหนี้ระยะสั้น ที่ต้องมีการชำระภายในหนึ่งปี โดยใช้สินทรัพย์หมุนเวียนทั้งหมด เหมาะสำหรับใช้ประเมินสภาพคล่องในภาพรวมของบริษัทหรือธุรกิจนั้น ๆ 

มีสูตรการคำนวณ คือ

Current Ratio = สินทรัพย์หมุนเวียน/หนี้สินหมุนเวียน

 

  • Quick Ratio (อัตราส่วนส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็ว)

อัตราส่วนที่ใช้วัดสภาพคล่องในการชำระหนี้ระยะสั้น ที่ไม่นับรวมสินค้าคงคลัง และจะนับเฉพาะสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับธุรกิจหรือบริษัทที่มีสินค้าคงเหลือจำนวนมากหรือมีการหมุนเวียนของสินค้าช้า

มีสูตรการคำนวณ คือ

Quick Ratio = (สินทรัพย์หมุนเวียน - สินค้าคงเหลือ) / หนี้สินหมุนเวียน

 

  • Cash Ratio (อัตราส่วนเงินสด)

ตัวบ่งชี้ที่มีความเข้มงวด รอบคอบ และระมัดระวังมากที่สุด โดยจะใช้ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นของบริษัท ซึ่งจะพิจารณาเฉพาะสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงที่สามารถนำมาชำระหนี้ได้ทันที อย่างเงินสดและสินทรัพย์ในรูปแบบเงินสด โดยไม่จำเป็นต้องขายหรือยืมสินทรัพย์ เหมาะสำหรับการวัดความมั่นคงทางเงินของบริษัทในช่วงที่อยู่ในวิกฤติทางการเงิน

มีสูตรการคำนวณ คือ

Cash Ratio = (เงินสด + รายการเทียบเท่าเงินสด) / หนี้สินหมุนเวียน

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Current Ratio

  • ค่า Current Ratio ต่ำหมายความว่าอะไร?

ค่า Current Ratio ที่ต่ำกว่า 1.0 อาจเป็นสัญญาณว่าบริษัทนั้นกำลังประสบกับปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน และมีหนี้สินที่บริษัทต้องชำระภายใน 1 ปี มากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน ที่อาจบ่งชี้ความสามารถในการชำระหนี้สินได้


  • ค่า Current Ratio เท่าไหร่ถึงเรียกว่าดี?

โดยทั่วไป Current Ratio ที่มีค่าระหว่าง 1.5 - 3.0 ถือว่าอยู่ในระดับดี และแสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นของบริษัทได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามค่าที่ดี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ค่า Current Ratio ในอดีตของบริษัทเดียวกัน  และสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่สามารถควบคุมได้

 

  • Current Ratio ใช้วัดอะไรบ้าง?

    • ความสามารถในการชำระหนี้: Current Ratio เป็นเครื่องมือที่ชี้วัดว่าบริษัทมีสินทรัพย์เพียงพอที่จะชำระหนี้ครบภายใน 12 เดือน หรือไม่
    • ความมั่นคงทางการเงิน: เป็นการสะท้อนสภาพคล่องทางการเงินระยะสั้น หากมีค่าอัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเวียนที่เหมาะสม ก็หมายถึงว่าบริษัทนั้นมีความั่นคง และสามารถรับมือกับหนี้สินระยะสั้นได้เป็นอย่างดี
    • สภาพคล่องของบริษัท: ใช้ Current Ratio เพื่อประเมินว่าบริษัทมีเงินสดและสินทรัพย์ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดในได้เพียงพอที่จะชำระหนี้สินได้หรือไม่
    • ความเสี่ยงในการล้มละลาย: หากในอุตสาหกรรมเดียวกันนั้น มีค่า Current Ratio ต่ำ อาจบ่งชี้ว่าบริษัทหรือธุรกิจนั้น ๆ กำลังเผชิญกับปัญหาทางการเงินได้
    • เปรียบเทียบในแต่ละอุตสาหกรรม: สามารถใช้ค่า Current Ratio ของบริษัท เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมนั้น ๆ เพื่อประเมินความแข็งแกร่งทางการเงิน
    • แนวโน้มการเติบโต: การติดตาม Current Ratio ช่วยให้เห็นภาพรวมว่าสถานะทางการเงินของบริษัทดีขึ้นหรือแย่ลงเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ หากมีค่า Current Ratio ที่เหมาะสม อาจชี้ว่าบริษัทมีโอกาสการขยายของธุรกิจ แต่ในทางกลับกัน หากค่า Current Ratio ไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ อาจหมายถึงการใช้สินทรัพย์ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจกระทบต่อการเติบโตในอนาคต

Conclusion

Current Ratio เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับนักลงทุนในการใช้ประเมินสภาพคล่องและความมั่นคงทางการเงินของธุรกิจหรือบริษัทนั้น ๆ อัตราส่วนนี้ช่วยให้นักลงทุน นักวิเคราะห์ทราบว่าบริษัทสามารถใช้สินทรัพย์หมุนเวียนในการชำระหนี้สินระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด ดังนั้น การเข้าใจ Current Ratio พร้อมคำนึงถึงบริบทของแต่ละอุตสาหกรรมอย่างถูกต้อง จะสามารถช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มการลงทุนให้มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไม่ควรใช้ Current Ratio ในการตัดสินใจลงทุนเพียงอย่างเดียว ควรพิจารณาร่วมกับอัตราส่วนทางการเงินอื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อให้นำไปสู่การตัดสินใจที่สมเหตุสมผลมากขึ้น

 

 

คำเตือน

*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ 
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด

 

อ้างอิง