Share this
Current Ratio คืออะไร? รู้จักตัวชี้วัดสภาพคล่องที่นักลงทุนเลือกใช้

ในโลกของการลงทุนและการวิเคราะห์ธุรกิจ หนึ่งในปัจจัยที่นักลงทุนควรพิจารณาและให้ความสนใจ คือ สภาพคล่องทางการเงินของบริษัท ที่สะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นและการอยู่รอดของบริษัทนั้น ๆ “Current Ratio” หรือ “อัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเวียน” คือ หนึ่งในตัวชี้วัดที่ได้รับความนิยมในการแสดงถึงความมั่นคงของธุรกิจ และประเมินว่าบริษัทมีความสามารถเพียงพอในการชำระหนี้สินระยะสั้นหรือไม่ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Current Ratio อย่างละเอียด พร้อมตัวอย่างวิธีการคำนวณ และแนวทางการใช้เพื่อช่วยให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Current Ratio คืออะไร
Current Ratio คือ อัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเวียนที่เป็นตัวชี้วัดความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น (Short-term Liabilities) ที่ต้องชำระไม่เกิน 12 เดือน โดยใช้สินทรัพย์ระยะสั้นของบริษัท (Short-term Assets) หรืออธิบายง่าย ๆ ได้ว่า Current Ratio เป็นอัตราส่วนที่ใช้ประเมินสุขภาพทางการเงินโดยรวมของบริษัท ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีหรือไม่นั่นเอง

วิธีคำนวณ Current Ratio
-
สูตรการคำนวณ Current Ratio
Current Ratio = สินทรัพย์หมุนเวียน/หนี้สินหมุนเวียน
ค่าที่ได้จากการคำนวณนี้จะแสดงถึงความสามารถของบริษัทในชำระหนี้สินระยะสั้น ผ่านการใช้สินทรัพย์หมุนเวียนของบริษัท
-
ความหมายของตัวแปรในสูตร
จากสูตรการคำนวณอัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเวียน ตัวแปรแต่ละตัวมีความหมาย ดังนี้
-
- สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets) แสดงถึงสินทรัพย์ที่คาดว่าจะเปลี่ยนเป็นเงินสดหรือถูกใช้หมดไปภายใน 12 เดือน เช่น เงินสด เงินลงทุนระยะสั้น บัญชีลูกหนี้ สินค้าคงคลัง ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า
- หนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities) คือ ภาระผูกพันระยะสั้นของบริษัทที่ต้องชำระภายใน 12 เดือนข้างหน้า เช่น เงินกู้จากธนาคาร เจ้าหนี้การค้า เงินปันผลค้างชำระ ตั๋วเงินจ่าย ค่าเช่า ค่าจ้าง ภาษีค้างชำระ
- สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets) แสดงถึงสินทรัพย์ที่คาดว่าจะเปลี่ยนเป็นเงินสดหรือถูกใช้หมดไปภายใน 12 เดือน เช่น เงินสด เงินลงทุนระยะสั้น บัญชีลูกหนี้ สินค้าคงคลัง ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า
-
ตัวอย่างการคำนวณ Current Ratio
บริษัท ABC มีข้อมูลทางการเงิน ดังนี้
สินทรัพย์หมุนเวียน = 300,000 บาทหนี้สินหมุนเวียน = 150,000 บาท
เมื่อนำมาคำนวณตามสูตร Current Ratio จะได้
Current Ratio = 300,000/150,000 = 2.0
นั่นหมายความว่า บริษัท ABC มีสินทรัพย์หมุนเวียนเป็น 2 เท่า ของหนี้สินหมุนเวียน ซึ่งทำให้บริษัท ABC มีความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นได้อย่างเพียงพอ
การวิเคราะห์ค่า Current Ratio
-
ค่า Current Ratio ที่เหมาะสมคือเท่าไหร่?
เมื่อเราสามารถคำนวณอัตราส่วนได้แล้ว ในส่วนถัดไปคือ การวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้ หากบริษัทมี Current Ratio น้อยกว่า 1.0 แสดงว่าบริษัทมีสัญญาณที่น่ากังวล เนื่องจากมีเงินทุนหมุนเวียนไม่พอ และมีหนี้สิ้นมากกว่าเมื่อเทียบกับมูลค่าของสินทรัพย์หมุนเวียน ส่งผลถึงความสามารถในการชำระหนี้ รวมถึงสภาพคล่องของบริษัทโดยตรง
ในทางกลับกันหากผลลัพธ์ของ Current Ratio มากกว่า 1.0 หมายความว่าบริษัทนั้นมีเงินสดเพียงพอที่จะสามารถชำระหนี้ระยะสั้นได้โดยไม่มีปัญหาสภาพคล่อง อย่างไรก็ตามหากค่าของ Current Ratio สูงเกินไป อาจแสดงถึงปัญหาในการบริหารสินทรัพย์หมุนเวียนของบริษัทได้ เช่น บริษัทอาจมีเงินสดค้างสูงเกินความจำเป็น แทนที่จะนำไปลงทุนให้เกิดผลตอบแทน หรือ มีลูกหนี้การค้าสูงเกินไป อาจแสดงถึงความสามารถในการเรียกเก็บหนี้และกระเงินสดติดขัดในระยะยาว ทั้งนี้ค่าของ Current Ratio จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับค่าเฉลี่ยของแต่ละอุตสาหกรรม
-
การเปรียบเทียบ Current Ratio ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
เนื่องจากแต่ละอุตสาหกรรมมีการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ค่าของ Current Ratio มีความแตกต่างตามกันไป ยกตัวอย่าง เช่น
-
- อุตสาหกรรมค้าปลีก (Retail Industry): มักมีสินค้าคงเหลือหมุนเวียนเร็ว เพื่อให้มั่นใจในความพร้อมของสินค้า และตอบสนองลูกค้าได้ทันที ทำให้มี Current Ratio ที่ค่อนข้างต่ำกว่าอุตสาหกรรมอื่น
- อุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing Industry): ในอุตสาหกรรมนี้มักมี Current Ratio สูง เนื่องจากมีสินค้าคงคลัง วัตถุดิบหรือวัสดุต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตสินค้าจำนวนมาก
- อุตสากรรมเทคโนโลยี (Technology Industry): มักมีสินค้าคงคลังน้อย เนื่องจากมีสินทรัพย์ที่จับต้องไม่สามารถจับต้องได้ เช่น ซอฟต์แวร์ และมีการหมุนเวียนทรัพย์สินที่รวดเร็ว ทำให้มี Current Ratio ต่ำ
ดังนั้น Current Ratio จึงควรใช้เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของบริษัทหรือธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์สูงสุด

ข้อดีและข้อจำกัดของ Current Ratio
ข้อดีของการใช้ Current Ratio ในการวิเคราะห์ธุรกิจ
- สะท้อนสภาพคล่องของบริษัท: การใช้ Current Ratio เป็นการชี้ให้เห็นถึงภาพรวมทางการเงินและความสามารถของบริษัทในการชำระหนี้ระยะสั้นได้อย่างรวดเร็ว
- ประเมินความเสี่ยงของความสามารถในการชำระหนี้: นักลงทุนสามารถใช้ Current Ratio เพื่อตรวจสอบว่าบริษัทมีความเสี่ยงในการชำระหนี้สูงหรือต่ำ
- เครื่องมือเปรียบเทียบ: สามารถใช้ Current Ratio ในการเปรียบเทียบสภาพคล่องระหว่างบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อวิเคราะห์ความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทต่าง ๆ และประเมินความสามารถในการรับมือกับปัญหาทางการเงินได้
- ให้ข้อมูลเชิงลึกแก่ผู้ลงทุน: นักลงทุนสามารถใช้ Current Ratio สำหรับการประเมินความสามารถของบริษัทในการชำระหนี้และภาระผูกพันทางการเงิน ที่มีผลในการตัดสินใจลงทุน การปล่อยสินเชื้อ และความน่าเชื่อถือทางการเงินของบริษัท
ข้อจำกัดของ Current Ratio และข้อควรระวัง
- ความแตกต่างของแต่ละอุตสาหกรรม: การใช้ Current Ratio นั้นไม่สามารถนำไปใช้ได้กับทุกอุตสาหกรรม เนื่องจากแต่ละอุตสาหกรรมมีค่ามาตราฐาน โครงสร้างสินทรัพย์ และหนี้สินที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเปรียบเทียบในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน อาจไม่ก่อให้เกิดข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์แก่นักลงทุน
- ไม่สะท้อนหนี้สินระยะยาว: ตัวชี้วัดอัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเวียน เป็นเพียงการแสดงให้เห็นถึงภาพรวมทางการเงิน ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ที่ไม่ได้สะท้อนถึงคุณภาพของสินทรัพย์หและการจัดการในเรื่องของหนี้สินระยะยาวอย่างแท้จริง
- โอกาสในการตีความผิดพลาด: Current Ratio ที่สูง อาจหมายถึงธุรกิจหรือบริษัทนั้นมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี และมีความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว บริษัทที่มี Current Ratio สูง อาจเพราะมีหนี้สินต่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนที่ต่ำในบริษัท ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงินที่รุนแรงได้

ความแตกต่างระหว่าง Current Ratio, Quick Ratio และ Cash Ratio แต่ละตัวชี้วัดเหมาะกับการใช้งานแบบไหน?
เมื่อต้องวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน นอกจาก Current Ratio แล้ว ยังมีอัตราส่วนอื่น ๆ ที่นักลงทุนควรใช้เพื่อพิจารณาควบคู่กันไป ได้แก่ Quick Ratio และ Cash Ratio โดยแต่ละอัตราส่วนนั้น มีความแตกต่างและการใช้งาน ดังนี้
- Current Ratio (อัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเวียน):
ตัวชี้วัดเกี่ยวกับความสามารถของบริษัทในการชำระหนี้ระยะสั้น ที่ต้องมีการชำระภายในหนึ่งปี โดยใช้สินทรัพย์หมุนเวียนทั้งหมด เหมาะสำหรับใช้ประเมินสภาพคล่องในภาพรวมของบริษัทหรือธุรกิจนั้น ๆ
มีสูตรการคำนวณ คือ
Current Ratio = สินทรัพย์หมุนเวียน/หนี้สินหมุนเวียน
- Quick Ratio (อัตราส่วนส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็ว)
อัตราส่วนที่ใช้วัดสภาพคล่องในการชำระหนี้ระยะสั้น ที่ไม่นับรวมสินค้าคงคลัง และจะนับเฉพาะสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับธุรกิจหรือบริษัทที่มีสินค้าคงเหลือจำนวนมากหรือมีการหมุนเวียนของสินค้าช้า
มีสูตรการคำนวณ คือ
Quick Ratio = (สินทรัพย์หมุนเวียน - สินค้าคงเหลือ) / หนี้สินหมุนเวียน
- Cash Ratio (อัตราส่วนเงินสด)
ตัวบ่งชี้ที่มีความเข้มงวด รอบคอบ และระมัดระวังมากที่สุด โดยจะใช้ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นของบริษัท ซึ่งจะพิจารณาเฉพาะสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงที่สามารถนำมาชำระหนี้ได้ทันที อย่างเงินสดและสินทรัพย์ในรูปแบบเงินสด โดยไม่จำเป็นต้องขายหรือยืมสินทรัพย์ เหมาะสำหรับการวัดความมั่นคงทางเงินของบริษัทในช่วงที่อยู่ในวิกฤติทางการเงิน
มีสูตรการคำนวณ คือ
Cash Ratio = (เงินสด + รายการเทียบเท่าเงินสด) / หนี้สินหมุนเวียน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Current Ratio
-
ค่า Current Ratio ต่ำหมายความว่าอะไร?
ค่า Current Ratio ที่ต่ำกว่า 1.0 อาจเป็นสัญญาณว่าบริษัทนั้นกำลังประสบกับปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน และมีหนี้สินที่บริษัทต้องชำระภายใน 1 ปี มากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน ที่อาจบ่งชี้ความสามารถในการชำระหนี้สินได้
-
ค่า Current Ratio เท่าไหร่ถึงเรียกว่าดี?
โดยทั่วไป Current Ratio ที่มีค่าระหว่าง 1.5 - 3.0 ถือว่าอยู่ในระดับดี และแสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นของบริษัทได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามค่าที่ดี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ค่า Current Ratio ในอดีตของบริษัทเดียวกัน และสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่สามารถควบคุมได้
-
Current Ratio ใช้วัดอะไรบ้าง?
- ความสามารถในการชำระหนี้: Current Ratio เป็นเครื่องมือที่ชี้วัดว่าบริษัทมีสินทรัพย์เพียงพอที่จะชำระหนี้ครบภายใน 12 เดือน หรือไม่
-
- ความมั่นคงทางการเงิน: เป็นการสะท้อนสภาพคล่องทางการเงินระยะสั้น หากมีค่าอัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเวียนที่เหมาะสม ก็หมายถึงว่าบริษัทนั้นมีความั่นคง และสามารถรับมือกับหนี้สินระยะสั้นได้เป็นอย่างดี
-
- สภาพคล่องของบริษัท: ใช้ Current Ratio เพื่อประเมินว่าบริษัทมีเงินสดและสินทรัพย์ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดในได้เพียงพอที่จะชำระหนี้สินได้หรือไม่
-
- ความเสี่ยงในการล้มละลาย: หากในอุตสาหกรรมเดียวกันนั้น มีค่า Current Ratio ต่ำ อาจบ่งชี้ว่าบริษัทหรือธุรกิจนั้น ๆ กำลังเผชิญกับปัญหาทางการเงินได้
-
- เปรียบเทียบในแต่ละอุตสาหกรรม: สามารถใช้ค่า Current Ratio ของบริษัท เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมนั้น ๆ เพื่อประเมินความแข็งแกร่งทางการเงิน
-
- แนวโน้มการเติบโต: การติดตาม Current Ratio ช่วยให้เห็นภาพรวมว่าสถานะทางการเงินของบริษัทดีขึ้นหรือแย่ลงเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ หากมีค่า Current Ratio ที่เหมาะสม อาจชี้ว่าบริษัทมีโอกาสการขยายของธุรกิจ แต่ในทางกลับกัน หากค่า Current Ratio ไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ อาจหมายถึงการใช้สินทรัพย์ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจกระทบต่อการเติบโตในอนาคต
- แนวโน้มการเติบโต: การติดตาม Current Ratio ช่วยให้เห็นภาพรวมว่าสถานะทางการเงินของบริษัทดีขึ้นหรือแย่ลงเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ หากมีค่า Current Ratio ที่เหมาะสม อาจชี้ว่าบริษัทมีโอกาสการขยายของธุรกิจ แต่ในทางกลับกัน หากค่า Current Ratio ไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ อาจหมายถึงการใช้สินทรัพย์ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจกระทบต่อการเติบโตในอนาคต
Conclusion
Current Ratio เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับนักลงทุนในการใช้ประเมินสภาพคล่องและความมั่นคงทางการเงินของธุรกิจหรือบริษัทนั้น ๆ อัตราส่วนนี้ช่วยให้นักลงทุน นักวิเคราะห์ทราบว่าบริษัทสามารถใช้สินทรัพย์หมุนเวียนในการชำระหนี้สินระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด ดังนั้น การเข้าใจ Current Ratio พร้อมคำนึงถึงบริบทของแต่ละอุตสาหกรรมอย่างถูกต้อง จะสามารถช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มการลงทุนให้มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไม่ควรใช้ Current Ratio ในการตัดสินใจลงทุนเพียงอย่างเดียว ควรพิจารณาร่วมกับอัตราส่วนทางการเงินอื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อให้นำไปสู่การตัดสินใจที่สมเหตุสมผลมากขึ้น
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด
อ้างอิง
Share this
- Bitazza Blog (81)
- Crypto Weekly (41)
- DAO (15)
- Beginner (14)
- mission (11)
- ความปลอดภัย (11)
- บล็อกเชน (8)
- Learning Hub (6)
- การค้าขาย (6)
- หัวข้อเด่น (6)
- Tether (USDt) (5)
- ตลาด (5)
- วิจัย (5)
- bitcoin (4)
- Campaigns (3)
- Security (3)
- missions (3)
- เศรษฐศาสตร์ (3)
- Bitazza Insights (2)
- Stablecoin (2)
- Token talk (2)
- Trading (2)
- เกี่ยวกับการสอน (2)
- Crypto รายสัปดาห์ (1)
- Disclosure (1)
- ENJ (1)
- Educational (1)
- Featured (1)
- KYC (1)
- NFTs (1)
- SEC (1)
- TRUMP (1)
- TradingView (1)
- บิทาซซ่าบล็อกส์ (1)