เคยรู้สึกไหมว่าเงิน 100 บาทในวันนี้ ซื้อของได้น้อยกว่าเมื่อหลายปีก่อน ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า "เงินเฟ้อ" หรือ Inflation นั่นเอง แล้วแท้จริงแล้ว inflation คือ อะไรกันแน่ พูดง่ายๆ ก็คือ ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้มูลค่าหรืออำนาจซื้อของเงินลดลง
เมื่อเกิดเงินเฟ้อ เงินในกระเป๋าของเราจะด้อยค่าลง ทำให้เราต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าและบริการในปริมาณเท่าเดิม นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่เราทุกคนควรทำความเข้าใจเรื่องนี้ เพราะมันส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันและการวางแผนทางการเงินของเรา
อัตราเงินเฟ้อ คือ ตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงของระดับราคา โดยคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ (%) เทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้า (เช่น เทียบกับเดือนที่แล้ว หรือปีที่แล้ว) ในประเทศไทย สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ จะเป็นผู้คำนวณและประกาศตัวเลขนี้ โดยใช้ข้อมูลจากดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) ซึ่งเป็นการวัดราคาสินค้าและบริการที่ครัวเรือนทั่วไปบริโภค
ตัวอย่าง: หากอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% หมายความว่า โดยเฉลี่ยแล้วราคาสินค้าและบริการสูงขึ้นจากปีก่อน 3% หรือของที่เคยราคา 100 บาท จะมีราคาใหม่เป็น 103 บาท
อัตราเงินเฟ้อ ตามนิยามของธนาคารแห่งประเทศไทย คือ ราคาของสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
โดยปกติ เงินเฟ้อจะเกิดขึ้นเมื่อต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น หรือเมื่อความต้องการซื้อ (Demand) เพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าของที่มีอยู่ในตลาด (Supply) ก็จะทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น แต่ยังมีอีกหลายเหตุผลเบื้องหลังที่ทำให้เงินเฟ้อเกิดขึ้นได้
เงินเฟ้อไม่ได้เกิดขึ้นจากสาเหตุเดียว แต่มีที่มาที่แตกต่างกันไป แบ่งได้เป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
เกิดจาก ความต้องการซื้อสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนผู้ผลิตไม่สามารถผลิตได้ทัน เมื่อของมีน้อยแต่คนอยากได้เยอะ ผู้ขายจึงสามารถขึ้นราคาสินค้าได้ มักเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างร้อนแรง
เกิดจาก ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เช่น ราคาพลังงาน (น้ำมัน, ก๊าซ) แพงขึ้น, ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น, หรือราคาวัตถุดิบนำเข้าสูงขึ้นจากค่าเงินที่อ่อนตัว ผู้ผลิตจึงจำเป็นต้องผลักภาระต้นทุนเหล่านี้มาให้ผู้บริโภคด้วยการขึ้นราคาสินค้า
เป็นเงินเฟ้อที่ขับเคลื่อนด้วย วงจรการคาดการณ์ เมื่อพนักงานคาดว่าเงินเฟ้อจะสูงขึ้นในอนาคต พวกเขาก็จะเรียกร้องค่าจ้างที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น เมื่อนายจ้างขึ้นค่าจ้างให้ ก็จะส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น และต้องขึ้นราคาสินค้าในที่สุด วนเวียนเป็นวัฏจักร
เป็นภาวะเงินเฟ้อที่ รุนแรงและควบคุมไม่ได้ อัตราเงินเฟ้ออาจสูงเกิน 50% ต่อเดือน ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาลในเวลาอันสั้น จนเงินแทบจะไร้ค่า มักเกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจขั้นรุนแรง หรือการที่รัฐบาลพิมพ์เงินออกมามากเกินไป
โดยทั่วไป เราสามารถแบ่งระดับความรุนแรงของเงินเฟ้อได้ 3 ระดับ
เมื่อธนาคารกลางพิมพ์เงินหรืออัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจมากเกินความจำเป็น จะทำให้ปริมาณเงินในมือประชาชนมีมากเกินไปเทียบกับจำนวนสินค้าและบริการ ทำให้เกิดแรงซื้อและดันราคาสินค้าให้สูงขึ้น
ดังที่กล่าวไปในเรื่อง Cost-push Inflation ปัจจัยหลัก ๆ คือ ราคาพลังงาน วัตถุดิบ และค่าแรงที่สูงขึ้น
เมื่อเศรษฐกิจดี ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ความต้องการบริโภคก็จะสูงตามไปด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุของ Demand-pull Inflation
เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น สงคราม, วิกฤตโรคระบาด, หรือความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ สามารถส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและดันราคาสินค้าให้สูงขึ้นได้ รวมถึงภาวะ เงินบาทอ่อนค่า ก็ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าสูงขึ้นเช่นกัน
เงินเฟ้อส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งในระดับบุคคลและระดับประเทศ ประชาชนทั่วไปจะต้องจ่ายเงินจำนวนมากขึ้นเพื่อซื้อของจำนวนเท่าเดิม ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้มีอำนาจในการซื้อลดลง เงินเก็บหรือรายได้ประจำมีมูลค่าที่แท้จริงน้อยลง รวมถึงเงินออมก็มีมูลค่าลดลง เพราะผลตอบแทนที่ได้น้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ ผู้มีรายได้ประจำได้รับผลกระทบหนักเพราะรายได้ที่เพิ่มขึ้นไม่เท่ากับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น สำหรับเจ้าหนี้ก็เสียเปรียบ เนื่องจากเงินที่ได้รับคืนมีมูลค่าน้อยกว่าเงินที่ให้ยืมไป สำหรับภาคธุรกิจ ต้องแบกรับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อกำไร ถึงแม้ว่าจะขายสินค้าได้ในราคาสูงขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะขายสินค้าได้ในปริมาณน้อยลง สำหรับเศรษฐกิจโดยรวม จะมีการเติบโตที่ช้าลง เกิดความไม่แน่นอนในการลงทุน และการตัดสินใจทางธุรกิจ
ในฐานะบุคคลทั่วไป เราสามารถวางแผนเพื่อลดผลกระทบจากเงินเฟ้อได้ ดังนี้
เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของเศรษฐกิจมากขึ้น เราควรทำความรู้จักกับภาวะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องแบบเข้าใจง่าย ๆ
ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตรงกันข้ามกับเงินเฟ้อโดยสิ้นเชิง ในภาวะเงินฝืด ค่าของเงินจะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เงินจำนวนเท่าเดิมสามารถซื้อของได้มากขึ้น ฟังดูเหมือนจะดี แต่จริงๆ แล้วเป็นภาวะที่อันตรายต่อเศรษฐกิจ เพราะเมื่อคนคาดว่าราคาสินค้าจะถูกลงอีกในอนาคต พวกเขาก็จะชะลอการใช้จ่ายออกไป ส่งผลให้ผู้ผลิตขายของไม่ได้ ต้องลดการผลิต ลดการจ้างงาน และอาจนำไปสู่วงจรเศรษฐกิจที่ซบเซาและถดถอยในที่สุด
โดยทั่วไป อัตราเงินเฟ้อในระดับอ่อนๆ ที่ 1-3% ถือว่าเหมาะสม เพราะเป็นระดับที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ไม่สูงจนเกินไปจนทำให้ค่าครองชีพพุ่งสูง และไม่ต่ำจนเสี่ยงต่อภาวะเงินฝืด
เงินเฟ้อทำให้ มูลค่าที่แท้จริงของเงินออมลดลง ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณฝากเงินได้ดอกเบี้ย 1% ต่อปี แต่มีอัตราเงินเฟ้อ 3% เท่ากับว่ามูลค่าเงินออมของคุณลดลง 2% ต่อ
เงินเฟ้อต่ำในระดับที่เหมาะสม (เงินเฟ้ออย่างอ่อน) ดีกว่า เงินเฟ้อสูงทำให้ค่าครองชีพพุ่งสูงและสร้างความไม่แน่นอน ในขณะที่เงินเฟ้อต่ำเกินไป (หรือติดลบ) จะนำไปสู่ภาวะเงินฝืดซึ่งแก้ไขได้ยากกว่า
มีหลายประเทศในประวัติศาสตร์ เช่น เยอรมนี หลังสงครามโลกครั้งที่ 1, ซิมบับเว ในช่วงปี 2000s ที่มีการพิมพ์ธนบัตรใบละ 100 ล้านล้านดอลลาร์ซิมบับเว และล่าสุดคือ เวเนซุเอลา
Inflation หรือ เงินเฟ้อ คือภาวะที่ค่าเงินลดลงและราคาสินค้าสูงขึ้น ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อเราทุกคน การทำความเข้าใจถึงความหมาย สาเหตุ ประเภท และผลกระทบ จะช่วยให้เราสามารถวางแผนทางการเงินและปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การลงทุนที่ชาญฉลาดและการบริหารจัดการเงินที่ดี คือกุญแจสำคัญในการปกป้องความมั่งคั่งของคุณจากอำนาจของเงินเฟ้อที่มองไม่เห็น
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำทางการเงินแต่อย่างใด
อ้างอิง