สัปดาห์ที่ 24-30 กันยายน 2567
Kamala Harris เปิดตัวนโยบายส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่าง AI และสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นการกล่าวถึงคริปโทเคอร์เรนซีอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ จะมีการเปิดตัวนโยบายเศรษฐกิจชุดใหม่ในสัปดาห์นี้ด้วย
นักวิเคราะห์จากธนาคาร Standard Chartered คาดว่า Bitcoin (BTC) และคริปโทเคอร์เรนซีจะเป็นขาขึ้นในไม่ช้าหลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับลดดอกเบี้ยลงเป็นครั้งแรกโดยมีแรงหนุนจากภาวะเศรษฐกิจมหภาค รวมทั้งให้จับตาดูกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าจากกองทุน Spot Bitcoin ETF ในเดือนตุลาคมนี้
นักวิเคราะห์จาก Bernstein คาดว่า หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยจะทำให้ตลาด DeFi มีความน่าสนใจขึ้นเพราะผลตอบแทนที่ได้อาจอยู่ในระดับ 5% สูงกว่าผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาของตลาด DeFi แล้วแม้ว่าตลาดคริปโทเคอร์เรนซียังไม่กลับไปยังจุดสูงสุดเดิม
Matt Hougan ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Bitwise ยอมรับว่า Ethereum (ETH) ยังสร้างผลตอบแทนต่ำกว่า Bitcoin (BTC) หรือแม้แต่ Solana (SOL) แต่ความเป็นผู้นำในตลาดยังครองสัดส่วน 50% ของการสร้างสเตเบิลคอยน์ (Stablecoin) และครองสัดส่วน 60% ของสินทรัพย์ทั้งหมดใน DeFi โดยเขามองว่า Ethereum คือ Microsoft ของบล็อกเชนที่องค์กรขนาดใหญ่ให้ความเชื่อถือ
ธนาคารยักษ์ใหญ่ของเยอรมนีอย่าง Commerzbank และ DZ Bank เปิดให้บริการซื้อขาย Bitcoin และคริปโทเคอร์เรนซีสำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กรและสหกรณ์ทั่วประเทศกว่า 700 แห่งตามลำดับ โดยธนาคารทั้ง 2 แห่งมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวมกันมากกว่า 1,000,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Microstrategy เสร็จสิ้นการเสนอขายผ่านหุ้นกู้แปลงสภาพมูลค่าประมาณ 1,010 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่อัตราดอกเบี้ย 0.625% ซึ่งครบกำหนดในปี 2028 โดยจะนำรายได้ส่วนหนึ่งไปซื้อ Bitcoin ล่าสุดระหว่างวันที่ 13-19 กันยายนที่ผ่านมา MicroStrategy เข้าซื้อ Bitcoin ประมาณ 7,420 BTC ด้วยเงินสดมูลค่าราว 458.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ราว 61,750 ดอลลาร์สหรัฐ
Arkham Intelligence เปิดเผยว่าประเทศภูฏานถือครอง Bitcoin จำนวน 13,029 BTC คิดเป็นมูลค่าราว 758 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่า Bitcoin ที่ถือโดยประเทศเอลซัลวาดอร์กว่าเท่าตัว โดยมาจากการขุดที่ดำเนินการโดย Druk Holdings ซึ่งเป็นบริษัทด้านการลงทุนของประเทศภูฏาน และยังถือ Ethereum (ETH) มูลค่าประมาณ 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึง Binance (BNB) และ Polygon (POL) จำนวนเล็กน้อยอีก
Bitcoin (BTC)
Bitcoin (BTC) เริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามา แนวโน้มเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวโดยมีเป้าหมายระยะสั้นที่ 65,000 ดอลลาร์สหรัฐ หากผ่านได้มีโอกาสทดสอบเป้าหมายที่ 70,000 ดอลลาร์สหรัฐ ถ้าราคาย่อตัวลง แนวรับที่สามารถเข้าซื้อได้อยู่ที่ 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ มองว่าสัปดาห์นี้มีแนวโน้มขาขึ้น
Ethereum (ETH)
ETH ฟื้นตัวขึ้นไปทำจุดต่ำสุดใหม่ แนวโน้มเริ่มดีขึ้นหลังผ่านแนวต้านที่ 2,460 ดอลลาร์สหรัฐมาได้ ใช้ราคานี้เป็นแนวรับแรกและแนวรับที่ 2 อยู่ที่ 2,270 ดอลลาร์สหรัฐ เป้าหมายสัปดาห์นี้อยู่ที่ 2,750 ดอลลาร์สหรัฐ หากผ่านจุดนี้ไปได้จะมีโมเมนตัมเชิงบวกมากขึ้น
Sui (SUI)
Sui (SUI) ทำผลตอบแทน 46.16% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา แนวโน้มกลับตัวเป็นขาขึ้นแล้ว กลยุทธ์ที่ใช้ คือ ซื้อเมื่อย่อตัว จับตาแนวรับแรกที่ระดับ 1.40 ดอลลาร์สหรัฐ เป้าหมายระยะสั้นที่ 1.80 ดอลลาร์สหรัฐ ระวังแรงเทขายจากการที่ราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก
Aptos (APT)
Aptos (APT) ทำผลตอบแทน 37.31% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แนวโน้มเริ่มที่จะกลับตัวเป็นขาขึ้น ราคากลับมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 100 วัน ใช้แนวรับแรกที่ 7 ดอลลาร์สหรัฐ มองแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อโดยมีเป้าหมายแนวต้านที่ระดับ 9 ดอลลาร์สหรัฐ
แนวต้าน : 300 บาท / 9 USD
จับกระแสการลงทุน
คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) มีมติขึ้นดอกเบี้ยในอัตรา 0.5% ถือว่าไม่ผิดไปจากที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ความกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นรวมถึง Bitcoin ที่ตอบรับเชิงบวกเพียงเล็กน้อย
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายนนี้จะมีการประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ของสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะอยู่ที่ 3% เพิ่มขึ้นจากการประเมินครั้งล่าสุดที่อยู่ที่ 1.4% ภายในวันเดียวกัน ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะขึ้นพูดให้ความเห็นเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ หากตัวเลข GDP และความเห็นออกมาในเชิงว่าเศรษฐกิจยังเติบโตจะส่งผลบวกต่อราคา Bitcoin
สำหรับมุมมองต่อ Bitcoin มองว่าได้รับแรงกดดันระยะสั้น ยังคงมุมมองเดิมว่า ไตรมาส 4 จะเป็นช่วงเวลาที่ดีของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี แรงซื้อจาก Spot Bitcoin ETF ยังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ Kamala Harris ได้ออกมาพูดถึงนโยบายส่งเสริมสินทรัพย์ดิจิทัล แม้จะยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนแต่น่าจะคลายแรงกดดันของตลาดที่มีต่อสมมุติฐานว่าหากพรรคเดโมแครตชนะเลือกตั้งอาจไม่เป็นผลดีต่อคริปโทเคอร์เรนซีลง
เหรียญทางเลือก (Altcoin) กลุ่ม AI เริ่มสร้างผลตอบแทนเหนือค่าเฉลี่ยตลาดรวมถึงกลุ่ม Blockchain Layer 1 รุ่นใหม่ และกลุ่ม DeFi บางเหรียญ หาจังหวะเข้าสะสมเหรียญที่เริ่มมีแรงเก็งกำไรเข้ามา และสะสมเหรียญขนาดใหญ่อย่าง Bitcoin (BTC) และ Ethereum (ETH)
แหล่งอ้างอิง
หมายเหตุ มุมมอง ข้อมูลความรู้ และความคิดเห็นถือมาเป็นเนื้อหาที่มาจากปัจเจกบุคคลที่เกี่ยวข้อง และไม่ได้ถือเป็นการแสดงออกจากบิทาซซ่าและพนักงาน ทั้งอีเมลและเนื้อหาที่นำเสนอไม่ถือเป็นคำแนะนำด้านการลงทุน