สัปดาห์ที่ 1-7 เมษายน 2568
โปรเจกต์ World Liberty Financial ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Donald Trump เปิดตัวสเตเบิลคอยน์ (Stablecoin) ตัวใหม่ World Liberty Financial USD (USD1) โดยมีสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐหนุนหลัง มีปริมาณในตลาดรวมกว่า 3.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำงานบนเชน Ethereum และ BNB Chain
CoinFund วิเคราะห์ว่า ปริมาณในตลาดของสเตเบิลคอยน์ทั่วโลกอาจพุ่งสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งอาจจะส่งเสริมให้การใช้งาน DeFi มีการเติบโตขึ้น รวมถึงทำให้สกุลเงินดิจิทัลขยายตัวในวงกว้างได้มากขึ้น
Financial Times รายงานว่า Fidelity Investments วางแผนเปิดตัวสเตเบิลคอยน์เพื่อใช้แทนเงินสดในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี พร้อมกับกับการเปิดตัวโทเคนดิจิทัลที่มีพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หนุนหลัง คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในวันที่ 30 พฤษภาคมนี้
BlackRock เปิดตัว ETP หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่อ้างอิงกับ Bitcoin ตัวแรกในยุโรป โดยจะเริ่มซื้อขายบนตลาดหลักทรัพย์ยุโรป 3 ตลาด ได้แก่ Euronext Paris, Xetra และ Euronext Amsterdam โดย Bitcoin จะถูกเก็บรักษาไว้ในรูปแบบ Cold Storage ผ่าน Coinbase Custody
The Block รายการปริมาณการซื้อขายในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีลดลงจากจุดสุงสุดที่เกิดขึ้นหลัง Donald Trump ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ที่ปริมาณการซื้อขายรายวันพุ่งขึ้นแตะ 126,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ปัจจุบันลดลงกว่า 70% ลงมาอยู่ที่ 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยปัจจัยหลักมาจากความกังวลเรื่องนโยบายจัดเก็บภาษีนำเข้า
บริษัทวิเคราะห์การลงทุน Architect Partners มองว่า ภายในปี 2573 บริษัทที่อยู่ในดัชนี S&P 500 ราว 25% จะมี Bitcoin อยู่ในงบดุลของบริษัทและเป็นการถือครองระยะยาวมากกว่าเก็งกำไร ปัจจุบันบริษัทมหาชนทั่วโลกถือครอง Bitcoin รวม 665,618 BTC คิดเป็นประมาณ 3.17% ของปริมาณในตลาดทั้งหมด โดย Strategy ถือครองมากที่สุดอยู่ 506,137 BTC
Bitcoin (BTC) ปรับตัวลงหลังไม่สามารถผ่านแนวต้านสำคัญที่จะกลับตัวเป็นขาขึ้นได้ ทำให้แนวรับที่ต้องจับตาคือจุดต่ำสุดเดิมที่ 77,000 ดอลลาร์สหรัฐ หากหลุดระดับดังกล่าว ต้องตัดขาดทุนออกไปก่อน ส่วนเป้าหมายแนวต้านในช่วงสั้นอยู่ที่ 87,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะเป็นการผ่านแนวต้านแรกที่จะกลับตัวเป็นขาขึ้น ใช้เป็นจุดกำไรระยะสั้นได้
Ethereum (ETH) แนวโน้มราคายังอ่อนแอ สัปดาห์นี้จับตาแนวรับที่ 1,700 ดอลลาร์สหรัฐ หากรับไม่อยู่ อาจลงมาสร้างจุดต่ำสุดใหม่ได้ถึงระดับ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่แนวต้านแรกอยู่ที่ 2,100 ดอลลาร์สหรัฐ หากผ่านระดับนี้ แนวโน้มจึงอาจกลับตัวเป็นขาขึ้น ระยะสั้นเน้นแค่เก็งกำไรระยะสั้นด้วยการขายที่แนวต้านแรกไปก่อน เพราะแนวโน้มยังเป็นขาลง
EOS (EOS) ทำผลตอบแทน 1.62% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หากสามารถผ่านแนวต้านแรกที่ 0.6870 ดอลลาร์สหรัฐ แนวโน้มมีโอกาสจะปรับตัวขึ้นต่อ โดยมีเป้าหมายที่แนวต้านต่อไปที่ 0.7900 ดอลลาร์สหรัฐ แต่หากยังไม่ผ่าน จุดซื้อจะอยู่ที่แนวรับ 0.5373 ดอลลาร์สหรัฐ
TonCoin (TON) ทำผลตอบแทน 1.12% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา แนวโน้มกำลังกลับตัวเป็นขาขึ้น มีเป้าหมายที่แนวต้าน 4.740 ดอลลาร์สหรัฐ กลยุทธ์เน้นเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัว โดยมีแนวรับที่ 3.340 ดอลลาร์สหรัฐ แต่หากหลุดจากระดับนี้ ให้ตัดขาดทุนออกไปก่อน
ราคา Bitcoin (BTC) ได้ผลกระทบจากดัชนี PCE ที่ออกมาสูงกว่าคาด ประกอบกับตลาดมีความกังวลเรื่องนโยบายจัดเก็บภาษีนำเข้าของ Donald Trump ที่จะประกาศในวันพุธที่ 2 เมษายนนี้ ทำให้ตลาดหุ้นเกิดแรงเทขายออกมาเช่นเดียวกับ Bitcoin
คาดว่า ความกังวลของตลาดเรื่องนโยบายจัดเก็บภาษีนำเข้าจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นหลังจากผ่านสัปดาห์นี้เป็นต้นไป ประกอบกับยังไม่มีปัจจัยลบอื่น ๆ ที่จะกดดันราคา Bitcoin อาจเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้นของราคาหลังจากเข้าสู่ไตรมาส 2 ของปี 2568 เป็นต้นไป
เหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์นี้ วันศุกร์ที่ 4 เมษายนนี้ จะมีการประกาศตัวเลขอัตราการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Non Farm Payroll) คาดออกมา 139,000 ตำแหน่ง ลดลงจาก 151,000 ตำแหน่ง ในเดือนก่อน อัตราการว่างงานคาดว่าจะเท่าเดิมที่ 4.1% นอกจากนี้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะขึ้นพูดด้วย ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาจะชี้นำไปถึงนโยบายการเงินในไตรมาสที่ 2
จากสถิติแล้ว ไตรมาสที่ 2 มักจะเป็นช่วงที่ราคา Bitcoin ทำผลตอบแทนได้ไม่ดีนักโดยเฉพาะปีหลังจากเกิด Halving อย่างไรก็ตาม แนวโน้มราคา Bitcoin อาจไม่เคลื่อนไหวตามสถิติเก่าอีกต่อไป จากการที่โครงสร้างตลาดเปลี่ยนแปลงไป ยังมองโอกาสทยอยสะสมในช่วงไตรมาส 2 นี้
การเก็งกำไรในช่วงสั้นทำได้ยากในช่วงนี้จากความผันผวนของตลาด กลยุทธ์การลงทุนยังเน้นลงทุนในเหรียญขนาดใหญ่และเหรียญที่อาจมีข่าวดีเกี่ยวกับนโยบายของประธาน ก.ล.ต.สหรัฐฯ คนใหม่ จะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้
แหล่งอ้างอิง
คำเตือน
หมายเหตุ มุมมอง ข้อมูลความรู้ และความคิดเห็นถือมาเป็นเนื้อหาที่มาจากปัจเจกบุคคลที่เกี่ยวข้อง และไม่ได้ถือเป็นการแสดงออกจากบิทาซซ่าและพนักงาน ทั้งอีเมลและเนื้อหาที่นำเสนอไม่ถือเป็นคำแนะนำด้านการลงทุน