สัปดาห์ที่ 10 - 16 มิถุนายน 2568
บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อย่างน้อย 4 แห่ง ได้แก่ Apple, X, Google และ Airbnb อยู่ในขั้นตอนเริ่มต้นเจรจากับบริษัทในอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซีเพื่อสำรวจความเป็นไปได้ในการนำสเตเบิลคอยน์ (Stablecoin) มาใช้ในระบบชำระเงิน โดยรายงานของ World Economic Forum เปิดเผยว่า ในปี 2567 มูลค่าการทำธุรกรรมผ่านสเตเบิลคอยน์ทั่วโลกสูงถึง 27.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แซงหน้ามูลค่าการทำธุรกรรมของ Visa และ Mastercard รวมกัน
ในไตรมาสแรกของปี 2568 นักลงทุนสถาบันที่ถือครอง Bitcoin ผ่านกองทุน ETF ในสหรัฐอเมริกาเริ่มลดการถือครองลงเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เปิดตัวในปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ปรึกษาการเงินมีการเพิ่มสัดส่วนการถือครอง Bitcoin เช่นเดียวกับกลุ่มบริษัทเอกชนที่สะสมมากขึ้นโดยถือ Bitcoin ถึง 1.98 ล้าน BTC เพิ่มขึ้นกว่า 18.6% ตั้งแต่ต้นปีตามข้อมูลจาก CoinShares
BlackRock, Fidelity และ Bitwise เตรียมเปิดตัวกองทุน ETF ของคริปโตที่ให้ผลตอบแทนจากการสเตก โดยเน้นที่เหรียญขนาดใหญ่อย่าง Ethereum (ETH), BNB, Solana (SOL) และ Lido DAO (LIDO) โดยมีแรงหนุนจากนโยบายของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกาที่แถลงว่าการสเตกไม่ถือว่าเป็นหลักทรัพย์
Lee Jae-myung จากพรรคฝ่ายซ้ายได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนใหม่ พร้อมเตรียมนโยบายสนับสนุนคริปโตในประเทศด้วยสนับสนุนให้เกิด Bitcoin ETF และออกเหรียญ Stablecoin ที่มีสกุลเงินวอนหนุนหลังตลอดจนลดข้อจำกัดต่าง ๆเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมบล็อกเชนในประเทศ
JPMorgan เตรียมเปิดบริการใหม่ให้ลูกค้าบริหารความมั่งคั่งสามารถใช้สินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับคริปโต เช่น Bitcoin ETF เป็นหลักประกันในการกู้เงินโดยเริ่มจากกองทุน IBIT นอกจากนี้ ยังเตรียมนับรวมสินทรัพย์ดิจิทัลของลูกค้าเป็นส่วนหนึ่งในการประเมินมูลค่าทรัพย์สินรวมของลูกค้าเช่นเดียวกับสินทรัพย์แบบดั้งเดิม
Spot Ethereum ETF มีเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สามติดต่อกัน นับตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 มียอดเงินไหลเข้าแล้ว 837.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากยังคงรักษาอัตราการไหลเข้าไว้ได้คาดว่าสัปดาห์ที่จะถึงนี้จะมียอกเงินไหลเข้าสุทธิแตะ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Bitcoin (BTC) ย่อตัวลงมาแตะระดับ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หากมีแรงซื้อกลับ ใช้ระดับราคานี้ในการเข้าซื้อในระยะสั้น หากยังยืนได้ แนวโน้มมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อโดยมีแนวต้านระยะสั้นที่ 107,00 ดอลลาร์สหรัฐ และมีเป้าหมายที่ระดับ 120,000 ดอลลาร์สหรัฐ
Ethereum (ETH) เคลื่อนตัวออกข้างเพื่อสะสมพลังที่จะปรับตัวขึ้นต่อ หาจังหวะเข้าซื้อที่แนวรับ 2,200 ดอลลาร์สหรัฐ หลุดจากระดับนี้ ให้ชะลอลงทุนไปก่อน เป้าหมายที่แนวต้านที่ 2,900 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อที่จะทะลุผ่านแนวโน้มออกข้างและกลับตัวเป็นขาขึ้นต่อ
Compound (COMP) ทำผลตอบแทน 15.36% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังไม่สามารถผ่านแนวต้านที่ 50 ดอลลาร์สหรัฐได้ หาจังหวะเข้าซื้อโดยระวังไม่ให้หลุดแนวรับที่ 39 ดอลลาร์สหรัฐ หากสามารถผ่านแนวต้านนี้ไปได้ แนวโน้มจะกลับตัวเป็นขาขึ้นเต็มตัว
ApeCoin (APE) ทำผลตอบแทน 7.38% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แนวโน้มเคลื่อนตัวออกข้างเพื่อรอกลับตัวเป็นขาขึ้นต่อ หาจังหวะเข้าซื้อที่ระดับราคาไม่ต่ำกว่า 0.5680 ดอลลาร์สหรัฐ เป้าหมายขายทำกำไรระยะสั้นอยู่ที่ 0.7893 ดอลลาร์สหรัฐ หากผ่านระดับนี้ไปได้ แนวโน้มจะเป็นขาขึ้นต่อ
การประกาศอัตราการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Non Farm Payroll) ยังออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด ทำให้ลดความน่าจะเป็นที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) จะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ ประกอบกับความขัดแย้งระหว่าง Donald Trump กับ Elon Musk กดดันตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในช่วงสุดสัปดาห์
เหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์นี้จะเกิดขึ้นในวันที่ 11 มิถุนายน 2658 จากการประกาศตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ ตลาดคาดว่าจะออกมาที่ 2.5% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ 2.3% แต่หากตัวเลขออกมาลดลงกว่าที่คาด จะส่งผลบวกต่อตลาดเพราะอาจทำให้ท่าทีของการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในสัปดาห์หน้าอาจเปลี่ยนแปลงไป
แรงซื้อ Bitcoin (BTC) ผ่าน ETF ยังคงเป็นบวกต่อเนื่อง แต่แรงซื้อ Ethereum (ETH) ผ่าน ETF เติบโตมากกว่า บ่งบอกว่าตลาดเริ่มมองไปถึงการฟื้นตัวของเหรียญทางเลือก (Altcoin) โดยมีปัจจจัยหนุนจากกฎหมาย Genius ACT ที่อนุญาตให้สามารถสร้างสเตเบิลคอยน์ (Stablecoin) ได้
คาดว่าเหรียญที่เกี่ยวข้องกับ Stablecoin อย่างกลุ่มบล็อกเชนเลเยอร์ 1 (Blockchain Layer 1) รวมถึงกลุ่มการชำระเงินและ DeFi จะได้รับประโยชน์ สามารถทยอยสะสมได้ คาดว่าหากมีความชัดเจนในเรื่องนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย เหรียญทางเลือกจะเริ่มกลับมาสร้างผลตอบแทนได้ดีอีกครั้ง
แหล่งอ้างอิง
คำเตือน
หมายเหตุ มุมมอง ข้อมูลความรู้ และความคิดเห็นถือมาเป็นเนื้อหาที่มาจากปัจเจกบุคคลที่เกี่ยวข้อง และไม่ได้ถือเป็นการแสดงออกจากบิทาซซ่าและพนักงาน ทั้งอีเมลและเนื้อหาที่นำเสนอไม่ถือเป็นคำแนะนำด้านการลงทุน
เรียนรู้เพิ่มเติมบน Bitazza Thailand Blog